เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
...เก็บ "ความรัก" ไว้ในหัวใจ เพื่อมอบให้ "ใครสักคน" ที่รักฉัน... I'm saving my love for someone who love me.

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

ย้อนรอยเงินตราของไทย





เรื่องของเงินตรา
จากหลักฐานที่ค้นพบในบริเวณที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบัน มีเงินตราในยุคแรก ได้แก่เหรียญฟูนัน ทวาราวดี และศรีวิชัย ทางภาคเหนือมีเงินล้านนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเงินล้านช้าง ดังนั้นเงินตราของไทยจึงมีความหลากหลายในรูปลักษณะ และมีที่มาที่น่าสนใจ

แม้ว่าเงินตราดังกล่าว จะมีมา ก่อนที่จะตั้งประเทศไทย หรือรัฐไทยก็ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย และจีนผสมผสานกัน แต่ก็ได้หล่อหลอมกันมา จนปรากฎเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และยืนยงคง อยู่นานกว่าหกศตวรรษ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาผ่านสมัยอยุธยา สืบต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่งมาเลิกใช้ในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ เงินตราดังกล่าวได้แก่ เงินพดด้วง

หลังจากนั้น ประเทศไทยก็หันมาใช้เหรียญกษาปณ์แบบประเทศตะวันตกโดยได้มีการริเริ่มตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยัง ไม่ทันได้ออกใช้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าให้สร้างโรงกษาปณ์เพื่อผลิต เหรียญกษาปณ์ออกใช้ ตั้งอยู่ที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรม มหาราชวัง พระราชทานนามว่า โรงกษาปณ์สิทธิการเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๐๓


หลังจากเริ่มใช้เหรียญกษาปณ์ประมาณครึ่งศตวรรษ ความไม่พอเพียงต่อการใช้งาน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการค้าทำให้รัฐบาลต้อง ออก ธนบัตรเงินตรากระดาษ ไปใช้ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทั้งเหรียญกษาปณ์และธนบัตรได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

อวสานของกรุงศรีอยุธยา

กรุงศรีอยุธยา ถึงกาลล่มสลายอย่างย่อยยับ

เมื่อมีเกิดก็มีดับ กรุงศรีอยุธยาดำรงความเป็นราชธานีไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองจนล่วงมาถึง สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เป็นระยะเวลา ๔๑๗ ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๑๘๙๔ ถึง ปี พ.ศ.๒๓๑๐ ก็ถึงกาลล่มสลายอย่างย่อยยับด้วยความอ่อนแอ ของคนไทยเราเอง เพื่อให้เห็นภาพลักษณ์ดังกล่าว จึงขอยกเอาคำรำพึงของมหากวีเอกของไทยคือสุนทรภู่ ที่ได้บรรยายไว้ในนิราศพระบาทถึงสภาพของ กรุงศรีอยุธยาไว้บางตอนดังนี้

........... ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
.................................
........... ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา

กรุงศรีอยุธยามรดกไทยและมรดกโลก






การอนุรักษ์โบราณสถานต่าง ๆ อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งได้เริ่มงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยเริ่มขุดแข่งบูรณะพระราชวังโบราณ วิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ วัดพระราม วัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ก็ได้ดำเนินการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานต่าง ๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จึงได้ประกาศ เขตอุทยานประวัติศาสตร์ มีพื้นที่ครอบคลุมโบราณสถานดังกล่าว มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น ๑๘๑๐ ไร่
ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ กรมศิลปากร ได้เริ่มจัดทำแผนแม่บท นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้ขยายขอบเขตพื้นที่ จากบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เดิมให้ครอบคลุม เกาะเมืองทั้งเกาะ รวมทั้งบริเวณโดยรอบ รวมทั้งฟื้นฟูบรรยากาศของเมืองเก่า และสภาพแวดล้อม เช่น สร้างป้อมและกำแพงเมืองขึ้นมาใหม่ เป็นบางส่วน ตามแนวกำแพงเมืองเดิม ขุดลอกคูคลองโบราณให้ใช้สัญจร ได้สมจริง ตลอดจนพัฒนาย่านการค้าและหัตถกรรม ที่มีอยู่แต่โบราณ เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( United Nation Education Science and Culture Organization) ได้คัดเลือกให้นครประวัติศาสตร์ศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง ของไทย ที่นานาชาติได้เห็นคุณค่า และความสำคัญ อย่างยิ่งยวดของมรดกไทยอันมีคุณค่ายิ่งของไทย
โบราณสถานทั้งในเกาะเมืองและรอบเกาะเมืองมีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ถูกทำลายลงไป ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ พบว่า ในบริเวณดังกล่าวมีโบราณสถานมากกว่า ๔๐๐ แห่ง แต่ต่อมาอีก ๒๐ ปี คือเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โบราณสถานดังกล่าวได้ถูกทำลายไปจนเหลืออยู่เพียง ๒๔๙ แห่งเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล ห่วงใยในมรดกของชาติในส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง สมควรที่ชาวไทยทุกหมู่ทุกเหล่าได้มีจิตสำนึก ในการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งแม้แต่ประชาคมโลกก็ยังเห็นคุณค่าอันสูงส่งนี้ ให้ดำรงคงอยู่เป็นเกียรติประวัติ เป็นความภาคภูมิใจ ของประชาชาวไทยตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

มาดูสิ่งที่เหลือ...หลังกรุงศรีอยุธยาแตก







หลักศิลาจารึก ชนชาติไทย

พลิกปลูม ศิลาจารึกหลักที่ 1

ร.4 ขณะดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ และทรงเพศบรรพชิต ได้เสด็จไปจาริกแสวงบุญที่เมืองสุโขทัยเก่า เมื่อ พ.ศ. 2376 และทรงพบจารึกหลักที่ 1 แห่งเดียวกับพระแท่นมนังคศิลา คือ เนินปราสาท ตรงข้ามวัดมหาธาตุ
ศิลาจารึกนี้ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า จารึกของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งได้จารึกขึ้นในปี พ.ศ. 1835
ภาษาที่ใช้และตัวอักษร เป็นภาษาไทย

ตอนที่ 1

ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 1-18 เป็นพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหง โดยใช้คำว่า "กู" เป็นพื้น ดังปรากฏหลักฐาน ในศิลาจารึก คือ
"พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูเชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้าย ตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก..."


ตอนที่ 2

ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 19 ถึงด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 รวม 90 บรรทัด เป็นการพรรณนาถึงเมืองสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง เกี่ยวกับสภาพบ้านเมือง ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎหมาย พระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา การสร้างพระแท่นศิลาบาตร การประดิษฐ์ลายสือไท แต่ไม่ได้ใช้คำว่า "กู" แต่ใช้คำว่า "พ่อขุนรามคำแหง" เช่น "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง...ลายสือไทนี้จึงมีขึ้นเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ "


ตอนที่ 3

ตั้งแต่ด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 จนถึงบรรทัดสุดท้าย รวม 16 บรรทัด เป็นการกล่าวสรุปสรรเสริญ และยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รวมทั้งกล่าวถึงอาณาเขตของอาณาจักร เมืองสุโขทัย
ในตอนนี้ ตัวหนังสือไม่เหมือนกับตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ด้วย มีพยัญชนะลีบกว่า และสระที่ใช้ก็ต่างกันบ้าง

       


สำหรับศิลาจารึกหลักอื่น ๆ มีที่มาดังนี้
หลักที่ 2 พบที่วัดศรีชุม กล่างถึงประวัติพระนัดดาพ่อขุนผาเมือง

หลักที่ 3 มีผู้นำไปไว้ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวถึงเรื่องของพระเจ้าลิไท และสภาพกรุงสุโขทัย

หลักที่ 4 พบที่เนินปราสาทตรงข้ามวัดพระศรีมหาธาตุ กล่าวถึงการออกผนวช ที่วัดป่ามะม่วง

หลักที่ 5 พบที่วัดป่ามะม่วง กล่างถึงเรื่องพระเจ้าลิไทขึ้นครองราชย์

หลักที่ 6 พบที่วัดป่ามะม่วง กล่างถึงเรื่องการผนวชพระเจ้าลิไท

หลักที่ 7 ไม่ปรากฏที่พบ เรียกกันว่า จารึกวัดพระมหาธาตุ-วัดพระศรี

หลักที่ 8 พบบนเขาพระบาทใหญ่ (เขาสุมนกูฎ) กล่าวถึงเรื่องการราชาภิเศกพระเจ้าลิไท

หลักที่ 9 ไม่ปรากฎที่พบ เรียกกันว่า จารึกวัดป่าแดง


หลักที่ 11 พบที่ยอดเขากบ ปากน้ำโพ กล่างถึงประวัติและผลงานของมหาเถรศรีศรัทธา

หลักที่ 38 ไม่ปรากฎหลักฐานที่พบ เนื้อความเป็นกฎหมายในสมัยสุโขทัย

หลักที่ 45 พบที่หน้าวิหารกลางวัดมหาธาตุ กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานต่อกันของเจ้านายกรุงสุโขทัย และความสัมพันธ์ระหว่าง สุโขทัยกับน่าน

หลักที่ 64 พบที่วัดช้างค้ำ จังหวัดน่าน กล่าวถึงกลุ่มเมืองทางด้านเหนือของกรุงสุโขทัย

หลักที่ 76 พบที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการสร้างเมืองเชียงใหม่ และวัดเชียงมั่น

หลักที่ 93 พบที่วัดอโศการาม นอกเมืองสุโขทัยเก่า พระราชเทวีศรีจุฬาลักษณอัครราชมเหสี และพระราชโอรส นำพระบรมธาตุที่ได้จากลังกา มาประดิษฐานไว้ที่วัดอโศการาม

หลักที่ 102 พบที่วัดตระพังช้างเผือก สุโขทัย เนื้อความขาดหายไปมาก

หลักที่ 106 พบที่วัดช้างล้อม สุโขทัย กล่าวถึงการบวช การสร้าง และบูรณะวัด สมัยพระเจ้าลิไท

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

มลพิษแห่งความเกลียดชัง

A kindergarten teacher has decided to let her class play a game. The teacher told each child in the class to bring along a plastic bag containing a few potatoes. Each potato will be given a name of a person that the child hates, so the number of potatoes that a child will put in his/her plastic bag will depend on the number of people he/she hates.
คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกมได้ ดังนั้นเธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้นนำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขาจะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจไม่ชอบ
So when the day came, every child brought some potatoes with the name of the people he/she hated. Some had 2 potatoes; some 3 while some up to 5 potatoes. The teacher then told the children to carry with them the potatoes in the plastic bag wherever they go (even to the toilet) for 1 week.
และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆ ทุกคนก็นำฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน 2 หัว บางคนมีมัน 3 หัว ในขณะที่บางคนมีถึง 5 หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆ แห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์
Days after days passed by,and the children started to complain due to the unpleasant smell let out by the rotten potatoes. Besides, those having 5 potatoes also had to carry heavier bags. After 1 week, the children were elieved because the game had finally ended....
หลังจากที่หลายๆ วันผ่านไป พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้นเด็กที่มีมันฝรั่ง 5 หัวก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา 1 อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อยเพราะเกมได้จบลงแล้ว
The teacher asked: "How did you feel while carrying the potatoes with you for 1 week?". The children let out their frustrations and started complaining of the trouble that they had to go through having to carry the heavy and smelly potatoes wherever they go.
คุณครูถามว่า “พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ 1 อาทิตย์” พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเน่าเหม็น
Then the teacher told them the hidden meaning behind the game. The teacher said: "This is exactly the situation when you carry your hatred for somebody inside your heart. The stench of hatred will contaminate your heart and you will carry it with you wherever you go. If you cannot tolerate the smell of rotten potatoes for just 1 week, can you imagine what is it like to have the stench of hatred in your heart for your lifetime???"
หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม คุณครูกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบก เก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆ ที่ที่เราไป ถ้าขนาดที่เรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง 1 อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบกเก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต ?”
Moral of the story:
Throw away any hatred for anyone from your heart so that you
will not carry sins for a lifetime. Forgiving others is the best attitude
to take! Love others even if you don't like them

คติสอนใจจากนิทานเรื่องนี้ คือ :
โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจของคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกรับบาปนี้ไปชั่วชีวิต ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพวกเขา

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

EQ กับวัยทำงาน


อีคิว เรียกเป็นภาษาไทยเก๋ๆ ว่า ความฉลาดทางอารมณ์ เป็น ความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นสามารถเป็นการ บริหารจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม รับผิดชอบ และจัดการปัญหา อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ตลอดจนดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุข นัก จิตวิทยาหลายท่านที่มีความเชื่อว่าความสำเร็จหรือความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้มาจากความสามารถทางเชาว์ปัญญา หรือความเก่งในด้านการเรียนอย่างเดียว เรา อาจมีประสบการณ์ว่าคนที่เรียนเก่งได้รับเกียรตินิยม ก็ไม่ได้เป็นตัวรับประกันว่าคนๆนั้น จะประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวหรือหน้าที่การงานเสมอไป คนเรียนเก่งแต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเป็นสิ่งที่เราเองมีโอกาสพบเจอได้เสมอ

อีคิวพัฒนาได้แม้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วเนื่อง จากการพัฒนาการทางจิตใจยังคงสามารถดำเนินไปเสมอแม้เราจะอายุเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ว่าบางท่านอาจจะช้าเร็วไม่เท่ากัน เราอาจจะเห็นได้ว่าบางคนอายุมากแล้วแต่การแสดงอารมณ์ยังดูเหมือนเด็กๆ แต่บางคนก็ดูโตกว่าวัยขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และฝึกตนเอง ก่อนฝึกฝนพัฒนา อีคิว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อารมณ์นั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางด้านจิตใจ เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเกิดขึ้น การแสดงออกด้านอารมณ์ของมนุษย์ทั่วๆโลกคล้ายๆกัน ไม่ว่าจะเสียใจ ดีใจ กังวล โกรธ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เราจะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น อีคิว เกิดได้ต้องฝึกฝน สามารถประยุกต์ไปฝึกในชีวิตประจำวันได้ เริ่มต้นของการฝึกฝนพัฒนาอีคิว ต้องฝึก 3 ส่วน คือฝึกความเก่งในเรื่องเข้าใจอารมณ์ความเก่งรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ และความเก่งในการสร้างความสุข

เก่งเข้าใจอารมณ์  ฝึก ด้วยการรู้และบอกอารมณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับอารมณ์ที่เกิดไม่ว่าเป็นด้านบวกหรือลบ เช่น "วันนี้โดนดุ เซ็งมาก" ไม่เก็บกดการบอกอารมณ์และยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้อารมณ์ด้านลบนั้นลด ลงได้เร็ว ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือเก็บกดไม่ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้อารมณ์สะสมมากขึ้นจนสุดท้ายไม่ สามารถควบคุมได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา เมื่อฝึกได้แล้วเราจะเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น และสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้เหมาะสมเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น

ฝึกความเก่งด้านความรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ  ลอง นึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ท่านประสบความสำเร็จอะไรบ้าง และเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป้าหมายที่วางไว้สำเร็จลุล่วง และเวลาท้อแท้ มีปัญหา ท่านทำอย่างไรบ้าง คงจำประสบการณ์ได้ว่า ท่านทำอย่างไรบ้างกว่าจะเรียนจบ รับปริญญาได้

เมื่อก้าวสู่ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน คน ที่สร้างเป้าหมายให้ตนเองก็จะมีแรงจูงใจในการที่จะทำงาน ทำสิ่งต่างๆได้ แต่มักมีปัญหาว่า ทำไปแล้วแรงจูงใจตก หมดพลังมำงานหรือใช้ชีวิตไปวันๆ อยากจะลาออกแต่ออกไม่ได้ มีคนให้กำลังใจแล้วสักพักกลับรู้สึกแย่เหมือนเดิม สาเหตุส่วนหนึ่งมักมาจากเราเผลอไปสร้างแรงจูงใจจากสิ่งภายนอก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดเพียงแต่สิ่งต่างๆภายนอกนั้นเป็นเรื่องที่เรามักควบคุมได้ ยาก เปลี่ยนแปลงได้ยาก เราจึงมีโอกาสผิดหวังสูง ถ้าเปลี่ยนไปได้ก็ถือว่าดีไป บางคนอยากจะมีเงิน แต่เรามักจะไปแก้เรื่องที่ภายนอก เช่น บริษัทน่าจะขึ้นเงินเดือน ให้โบนัสมากๆ ให้สวัสดิการต่างๆเพิ่มขึ้น (ถ้าได้ก็ถือเป็นเรื่องดี)แต่หากเราเริ่มที่บริหารจัดการที่ตัวเราเอง โอกาสสำเร็จจะมีมากกว่า ชีวิตไม่วุ่นวายที่จะต้องไปแก้สิ่งต่างๆภายนอก เช่น เราอยากมีเงินเก็บ เราก็ใช้จ่ายน้อยลง เก็บออมมากขึ้นมาทำงานเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกหักเงินเดือน หรือบางท่านอยากหุ่นดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก เป็นต้น

ฝึกสร้างแรงจูงใจ โดยการตั้งเป้าหมาย ฝึก ให้กำลังใจตนเอง ลองเขียนบันทึกว่าเราอยากเห็นตนเองเป็นอย่างไรในอนาคต ทำให้เราเห็นภาพตนเองชัดเจนในอนาคตเมื่อเรามีเป้าหมายแล้วเราจะมีความกระตือ รือร้น มีความฝัน ความหวังในชีวิต หากตั้งแล้วรู้สึกท้อแท้ ท่านอาจต้องกลับไปดูใหม่ว่า ท่านเผลอไปแก้เรื่องภายนอกหรือคาดหวังสูงเกินไปหรือไม่ การมีเป้าหมายก็เหมือนกับการเดินทางที่มีแผนที่ หลงทางไปบ้างแต่ยังไปถึงจุดมุ่งหมายได้ สุดท้ายอย่าลืมให้กำลังใจตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กำลังใจไม่ขาดตอน

สุดท้ายฝึกเรื่องสร้างความสุข  บาง ท่านบอกข้อนี้ถนัด ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะหลายท่าน ดีกับคนอื่น ให้กำลังใจชาวบ้านได้เก่ง รับผิดชอบ ทำงานดี หัวหน้าชื่นชมแต่ไม่มีความสุข อันนี้ยังไม่ถือว่าอีคิวดีนัก สุขที่แท้จริงนั้นสำคัญที่สุดคือ ความสุขที่เกิดจากตนเอง ได้แก่ ความภาคภูมิใจในตนเอง ความสงบสุขทางจิตใจ

ลองฝึกฝนและพยายามสร้างอีคิวด้วยตัวท่านเองดู แล้วจะพบว่า ความสุขของชีวิต อยู่ใกล้แค่เอื้อม

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549

เหนื่อย...กับความรัก

ความรักมีดีอะไรหนักหนานะ 

ถึงทำให้คนบางคนทนยอมรัก รัก

แม้เขาทำให้เจ็บช้ำ หักหลัง ไม่ซื่อสัตย์

 บางวันรัก  บางวันเฉย พูดคำว่ารัก แค่ทำให้รู้สึกดี

แค่คำหวานเยินยอว่ารักเราหนักหนา 

เหมือนเราเป็นนางฟ้า ทำให้ตัวลอยเมื่อได้ยิน

เหมือนเขารักเราจริงๆ เรามีค่าสำหรับเขา

จะไม่หลอกลวงไม่ทิ้งเราตลอดชีวิตนี้ 

รักมากนะ ไม่ได้พูดกับใครง่ายๆ  ไม่ได้เกิดนานแล้ว

หากพอไม่นาน กลับไปพูดกับอีกคนได้

บางคำคนฟังคิดยาวไปถึงอนาคตร่วมกัน

เป็นแม่ของลูก  รักครั้งนี้แต่งเลยนะกล้าไหม

หากรับปาก สัญญาอะไรไม่เคยทำได้

ไม่เคยรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง

รู้  รู้ ทุกอย่างในสิ่งที่เขาทำ เขาเป็น

เลื่อนลอย ไร้จุดหมาย ไร้ความรับผิดชอบ

หากทำไม   บางคนยังยอมใจอ่อน ยอมทนรัก

อ่อนแอเพราะ  คำว่า รัก   เพราะรักเขา  คิดว่าเขารักเรา

ทำผิด ขอโทษ ขอโอกาส จะไม่ทำอีก พิสูจน์ได้

แต่สุดท้าย  ก็เหมือนเดิม

ซ้ำไปมาเหมือนนาฬิกาที่ไม่มีวันหยุดเดิน

นี่หรือ  คือ   ความรัก