เกี่ยวกับฉัน

- ระเด่นบุษบาหนึ่งหรัด
- ...เก็บ "ความรัก" ไว้ในหัวใจ เพื่อมอบให้ "ใครสักคน" ที่รักฉัน... I'm saving my love for someone who love me.
วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2549
วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2549
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
คุณของความเครียด
ทมยันตีเคยเล่าว่านวนิยายเบาสมองของเธอที่ใช้นามปากกาว่า "โรสลาเรน" นั้น ล้วนเขียนในยามที่กำลังเครียดทั้งนั้น มุขตลกของชาร์ลี แชปลิน ซึ่งนำความครื้นเครงมาสู่ชาวโลกนั้น ส่วนใหญ่ก็ขุดมาจากเบื้องหลังชีวิตอันทุกข์ระทม ดาวตลกเป็นจำนวนไม่น้อยก็มีชีวิตไม่ต่างจากเขา เพราะฉะนั้นความเครียดจึงมิใช่สิ่งกดดันบั่นทอนชีวิตแต่ถ่ายเดียว หากยังเป็นปัจจัยแห่งการสร้างสรรค์ด้วย
จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดัน ให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษ ในการฉกฉวยอะไรก็ได้เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์") ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียวก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ
แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้ นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้ เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลาง ๆ มากขึ้น ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้
มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวัน ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง
ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง
ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุย จนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น
เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว.
จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดัน ให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษ ในการฉกฉวยอะไรก็ได้เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์") ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียวก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ
แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้ นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้ เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลาง ๆ มากขึ้น ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้
มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวัน ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง
ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง
ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุย จนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น
เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว.
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์แต่ก็งดงาม
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งงดงามน่าอัศจรรย์ด้วย
ดังเช่น ฟ้าคราม สายแดด และนัยน์ตาของเด็กน้อย
อย่าเพ่งเล็งแต่ด้านทุกข์ ...
เราต้องสัมผัสด้านงดงามน่าอัศจรรย์ของชีวิตด้วย
ทั้งหมดล้วนอยู่ในเราและรอบๆตัวเรา.. ทุกเวลาและสถานที่...
หากเราไร้สุข ขาดสันติภายในใจ ...
ย่อมไม่อาจแบ่งปันสันติและความสุขกับผู้อื่นได้...
แม้เขาจะเป็นคนที่เรารักและอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ตาม
แต่ถ้าเรามีสันติสุข...
เราจะยิ้มและแย้มบานได้อย่างดอกไม้...
ทุกคนในครอบครัวตลอดรวมถึงสังคม...
...จะได้รับอานิสงส์จากสันติภาวะของเรา
เราต้องพยายามเป็นพิเศษหรือไม่ในการชื่นชมความงามของฟ้าคราม
เราต้องฝึกเสียก่อนจึงจะดื่มด่ำความงามดังกล่าวได้กระนั้นหรือ
เปล่าเลย... เราดื่มด่ำได้ทันที...
แต่ละวินาทีของชีวิต เราสามารถดำเนินไปเยี่ยงนี้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด...
เราสามารถชื่นชมสายแดด ชื่นชมการปรากฎอยู่ของกันและกัน
หรือกระทั่งชื่นชมความรู้สึกขณะหายใจได้
เราไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมฟ้าครามถึงเมืองจีน
ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงอนาคตเพื่อจะชื่นชมลมหายใจ
เราสามารถสัมผัสทั้งหมดนั้นได้เดี๋ยวนี้...
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราตระหนักเห็นแต่ด้านที่เป็นทุกข์...
ดังเช่น ฟ้าคราม สายแดด และนัยน์ตาของเด็กน้อย
อย่าเพ่งเล็งแต่ด้านทุกข์ ...
เราต้องสัมผัสด้านงดงามน่าอัศจรรย์ของชีวิตด้วย
ทั้งหมดล้วนอยู่ในเราและรอบๆตัวเรา.. ทุกเวลาและสถานที่...
หากเราไร้สุข ขาดสันติภายในใจ ...
ย่อมไม่อาจแบ่งปันสันติและความสุขกับผู้อื่นได้...
แม้เขาจะเป็นคนที่เรารักและอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ตาม
แต่ถ้าเรามีสันติสุข...
เราจะยิ้มและแย้มบานได้อย่างดอกไม้...
ทุกคนในครอบครัวตลอดรวมถึงสังคม...
...จะได้รับอานิสงส์จากสันติภาวะของเรา
เราต้องพยายามเป็นพิเศษหรือไม่ในการชื่นชมความงามของฟ้าคราม
เราต้องฝึกเสียก่อนจึงจะดื่มด่ำความงามดังกล่าวได้กระนั้นหรือ
เปล่าเลย... เราดื่มด่ำได้ทันที...
แต่ละวินาทีของชีวิต เราสามารถดำเนินไปเยี่ยงนี้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด...
เราสามารถชื่นชมสายแดด ชื่นชมการปรากฎอยู่ของกันและกัน
หรือกระทั่งชื่นชมความรู้สึกขณะหายใจได้
เราไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมฟ้าครามถึงเมืองจีน
ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงอนาคตเพื่อจะชื่นชมลมหายใจ
เราสามารถสัมผัสทั้งหมดนั้นได้เดี๋ยวนี้...
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราตระหนักเห็นแต่ด้านที่เป็นทุกข์...
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2549
ล้มแล้วยืน
ชนะ หมายถึงการลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่ก้าวพลาด
ยกตัวอย่าง เช่น เบบ รูธ นักเบสบอลชื่อดังที่เคยพลาดถึง 1330 ครั้ง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็พูดไม่ได้จนอายุได้ 4 ขวบ
อาจารย์สอนดนตรีของบีโทเฟน เคยกล่าวว่า
เขาไม่มีหวังจะได้เป็นนักแต่งเพลง
หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้คะแนน ปานกลาง ในวิชาเคมี
นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดประดิษฐ์จรวด เวิร์นเฮอร์ วอน บราน์
สอบตกวิชาพีชคณิตที่เรียนอยู่ชั้นเกรด 9
นักวิทยาศาสตร์ เช่น มาดามแมรี คูรี ทำการทดลองขณะใกล้จะล้มละลายก่อนที่จะบุกเบิกศาสตร์แขนงนิวเคลียร์ เคมีและเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการวิทยาศาสตร์โลกตลอดไป
ไมเคิล จอร์แดน ถูกตัดออกจากทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน เมื่อขณะเรียนอยู่ชั้นไฮสคูลปี 2
ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ชีวิตในอดีตของชายผู้หนึ่งซึ่งเคยผิดพลาดมาหลายครั้ง แต่ก็ยังสู้ไม่ถอย ลองดูซิว่าคุณจะทายถูกหรือไม่ว่าเขาคือใคร
เขาเคยล้มเหลวทางธุรกิจขณะที่อายุได้ 22ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพื้อเป็นสมาชิกในสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเมื่ออายุได้23 ปี
ล้มเหลวทางธุรกิจอีกครั้งขณะที่อายุได้ 25 ปี
รับมือกับการเสียชีวิตของแฟนสาวอันเป็นที่รักยิ่งเมื่ออายุได้ 26ปี
เจ็บป่วยเนื่องจากระบบประสาทล้มเหลวเมื่ออายุได้ 27 ปี
พ่ายแพ้จากตำแหน่งโฆษกรัฐบาลเมื่ออายุได้ 29ปี
พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อเพื่อเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้งเมื่ออายุได้34 ปี
ได้รับเป็นผู้แทนในสภาครองเกรสเมื่ออายุได้ 37 ปี
พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อสำหรับเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้ง
เมื่ออายุ ได้ 39 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 46 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพีอเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่ออายุได้ 47 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 49 ปี
เขาผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ..........อับราฮัม ลินคอร์น
เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมืออายุได้ 51 ปี เขาลุกขึ้นทุกครั้งที่เขาล้ม และในที่สุดก็บรรลุจุดหมายในชีวิต ได้รับความนับถือและความชื่นชมจากนานาประเทศและมวลชนทั่วโลก
ยกตัวอย่าง เช่น เบบ รูธ นักเบสบอลชื่อดังที่เคยพลาดถึง 1330 ครั้ง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็พูดไม่ได้จนอายุได้ 4 ขวบ
อาจารย์สอนดนตรีของบีโทเฟน เคยกล่าวว่า
เขาไม่มีหวังจะได้เป็นนักแต่งเพลง
หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้คะแนน ปานกลาง ในวิชาเคมี
นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดประดิษฐ์จรวด เวิร์นเฮอร์ วอน บราน์
สอบตกวิชาพีชคณิตที่เรียนอยู่ชั้นเกรด 9
นักวิทยาศาสตร์ เช่น มาดามแมรี คูรี ทำการทดลองขณะใกล้จะล้มละลายก่อนที่จะบุกเบิกศาสตร์แขนงนิวเคลียร์ เคมีและเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของวงการวิทยาศาสตร์โลกตลอดไป
ไมเคิล จอร์แดน ถูกตัดออกจากทีมบาสเกตบอลของโรงเรียน เมื่อขณะเรียนอยู่ชั้นไฮสคูลปี 2
ต่อไปนี้คือเหตุการณ์ชีวิตในอดีตของชายผู้หนึ่งซึ่งเคยผิดพลาดมาหลายครั้ง แต่ก็ยังสู้ไม่ถอย ลองดูซิว่าคุณจะทายถูกหรือไม่ว่าเขาคือใคร
เขาเคยล้มเหลวทางธุรกิจขณะที่อายุได้ 22ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพื้อเป็นสมาชิกในสภานิติบัญญัติแห่งรัฐเมื่ออายุได้23 ปี
ล้มเหลวทางธุรกิจอีกครั้งขณะที่อายุได้ 25 ปี
รับมือกับการเสียชีวิตของแฟนสาวอันเป็นที่รักยิ่งเมื่ออายุได้ 26ปี
เจ็บป่วยเนื่องจากระบบประสาทล้มเหลวเมื่ออายุได้ 27 ปี
พ่ายแพ้จากตำแหน่งโฆษกรัฐบาลเมื่ออายุได้ 29ปี
พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อเพื่อเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้งเมื่ออายุได้34 ปี
ได้รับเป็นผู้แทนในสภาครองเกรสเมื่ออายุได้ 37 ปี
พ่ายแพ้ในการเสนอชื่อสำหรับเลือกตั้งเข้าสู่สภาครองเกรสอีกครั้ง
เมื่ออายุ ได้ 39 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 46 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเพีอเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่ออายุได้ 47 ปี
พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกเมื่ออายุได้ 49 ปี
เขาผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ..........อับราฮัม ลินคอร์น
เขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมืออายุได้ 51 ปี เขาลุกขึ้นทุกครั้งที่เขาล้ม และในที่สุดก็บรรลุจุดหมายในชีวิต ได้รับความนับถือและความชื่นชมจากนานาประเทศและมวลชนทั่วโลก
วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2549
วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2549
วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2549
รักแท้หาได้ที่ไหน
ทำไมเราจึงหารักแท้ ได้ยากเย็นนัก
สายลมอ่อนๆพัดปอยผมสีขาวของคุณยายผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหวายโบราณ แว่นสายตาของเธอร่นมาอยู่ตรงปลายจมูก ขณะที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับงานเย็บปักถักร้อย ข้างตัวเธอมีหลานสาววัยรุ่นผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย เธอประดุจดอกไม้ที่เพิ่งจะแรกแย้ม ทันใดนั้นเธอก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า คุยยายคะ ทำไมเราจึงหารักแท้ ได้ยากเย็นนักคะ หญิงชราผู้มีดวงหน้าอารีผู้นี้เงยหน้าขึ้นมาจากงานเย็บปัก ลูบศีรษะหลานสาวอย่างรักใคร่ สักครู่หนึ่งเด็กสาวกระเถิบเข้าไปใกล้พร้อมกับนอนหนุนตักคุณยาย ฟังนะ ยายจะเล่าอะไรให้หนูฟัง...
สายลมอ่อนๆพัดปอยผมสีขาวของคุณยายผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกหวายโบราณ แว่นสายตาของเธอร่นมาอยู่ตรงปลายจมูก ขณะที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับงานเย็บปักถักร้อย ข้างตัวเธอมีหลานสาววัยรุ่นผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย เธอประดุจดอกไม้ที่เพิ่งจะแรกแย้ม ทันใดนั้นเธอก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า คุยยายคะ ทำไมเราจึงหารักแท้ ได้ยากเย็นนักคะ หญิงชราผู้มีดวงหน้าอารีผู้นี้เงยหน้าขึ้นมาจากงานเย็บปัก ลูบศีรษะหลานสาวอย่างรักใคร่ สักครู่หนึ่งเด็กสาวกระเถิบเข้าไปใกล้พร้อมกับนอนหนุนตักคุณยาย ฟังนะ ยายจะเล่าอะไรให้หนูฟัง...
รักแท้ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อหลายศตวรรษก่อน ขณะที่โลกเรายังอ่อนวัยกว่านี้ รักแท้ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง มนุษย์สามารถเป็นเจ้าของมันได้ด้วยการเรียกหา จึงมองไม่เห็นคุณค่าของรักแท้ เมื่อเป็นดังนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงตัดสินใจที่จะเก็บรักแท้เอาไว้ คุณยายหันมาส่งยิ้มและลูบผมนุ่มๆของหลานสาวอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวต่อไปว่า...
พระผู้เป็นเจ้าขอให้นางฟ้าสองตนช่วยเก็บรักษารักแท้ แรกทีเดียวนางฟ้าได้ฝังรักแท้ไว้ในดิน แต่มนุษย์ก็ขุดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย ต่อมาพวกเธอจึงนำรักแท้ไปเก็บไว้บนภูเขาที่สูงที่สุด แต่ผู้คนก็พากันปีนป่ายไปจนถึงยอดเขานั้น... นางฟ้าจึงนำไปไว้ได้ท้องทะเลลึก แต่มนุษย์ก็ยังดำดิ่งสู่ก้นทะเลแล้วนำรักแท้กลับคืนมาอีกจนได้
นับจากนั้นผู้คนต่างก็มีปัญหาในการติดตามหารักแท้... เพราะว่าพวกเขาจะพากันมองหามันในทุกหนทุกแห่ง ยกเว้นที่เดียว...
คุณยายคะ... รักแท้ก็ยังหากันได้ง่ายๆอยู่ดีนี่คะ หลานสาววิพากษ์ ...เพราะมนุษย์ก็จะขุด ปีน และว่ายน้ำ... ในที่สุดนางฟ้าจึงตกลงใจที่จะเก็บรักแท้ไว้ในหัวใจมนุษย์... นับจากนั้นผู้คนต่างก็มีปัญหาในการติดตามหารักแท้... เพราะว่าพวกเขาจะพากันมองหามันในทุกหนทุกแห่ง ยกเว้นที่เดียว... ที่ซึ่งควรจะเก็บมันไว้ นั่นคือ ...ตรงหัวใจ คุณยายกล่าวในที่สุด
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2549
วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2549
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2549
วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549
ทางออกของ...คนขี้เหงา
เมื่อรู้สึกแล้วว่า วันนี้เราเหงาจนอยู่คนเดียวไม่ได้ ทำยังไงดี
ถ้าคุณรู้สึกตัวเองว่าเป็นคนขี้เหงา อยู่ตามลำพังคนเดียวไม่ได้ จะต้องหาเพื่อนคุยและต้องมีคนแวดล้อมมาก ๆ ถ้าต้องอยู่คนเดียวเมื่อใด จะรู้สึกเหงาจับจิตจับใจ กระวนกระวายไม่มีความสุขที่จะต้องอยู่โดยไร้เพื่อน ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคนนั้นคนนี้ พอได้เพื่อนพูดคุยแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อย่างนี้ชีวิตของคุณจะต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นและต้องพึ่งพาทางใจจากคนอื่นอยู่เสมอ
ผลเสียของการเป็นคนขี้เหงาก็มีพอสมควรเช่น ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเอง ขาดการเรียนรู้ตนเอง ทำให้เพื่อนรำคาญเพราะโทรรบกวนบ่อยๆ อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยด้วย และยังเปลืองค่าโทรศัพท์อีกด้วย
ถ้าคุณคิดว่าการเป็นคนขี้เหงาทำให้คุณและผู้อื่นเดือดร้อน อยากจะปรับปรุงตนเอง ลองเลือกใช้วิธีต่อไปนี้ซิคะ
ฝึกอยู่กับตนเองให้มากขึ้น โดยกำหนดว่าวันนี้จะลองอยู่คนเดียวสักวันจะเป็น อย่างไรด้วยการฟังเพลงที่ชอบ ดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ พร้อมทั้งลองสำรวจความรู้สึกตนเองดูเป็นระยะว่าทนได้แค่ไหน ทำไม ถึงจะทนไม่ได้ อยู่คนเดียวมันน่ากลัวหรือเสียหายตรงไหน
หากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทำ เช่น ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง ล้างห้องน้ำ ฯลฯ จะช่วยทำให้เพลิดเพลิน เมื่อทำกิจกรรมเหล่านี้ลุล่วงแล้ว จะได้รับความภาคภูมิใจ และได้ความสะอาดของบ้านเรือนอีกด้วยค่ะ
ทำงานอดิเรก เลือกงานที่น่าสนใจและชอบ เช่นวาดรูป เล่นดนตรี ปักผ้า งานไม้ ฯลฯ จะได้รับความเพลิดเพลินเป็นอย่างดี หรือถ้าต้องการความชำนาญ ก็อาจจะไปเรียนเสริมในสิ่งที่ชอบก็ยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก
การโทรศัพท์หาเพื่อน ถ้าต้องการลดระยะเวลาที่โทร ก็กำหนดว่าจะคุยกับเพื่อนกี่นาที แล้วก็ทำตามที่ตั้งใจไว้
ลองเลือกนำไปใช้ดูนะคะ จะทำให้ได้ประโยชน์ต่อตนเองค่ะ
ถ้าคุณรู้สึกตัวเองว่าเป็นคนขี้เหงา อยู่ตามลำพังคนเดียวไม่ได้ จะต้องหาเพื่อนคุยและต้องมีคนแวดล้อมมาก ๆ ถ้าต้องอยู่คนเดียวเมื่อใด จะรู้สึกเหงาจับจิตจับใจ กระวนกระวายไม่มีความสุขที่จะต้องอยู่โดยไร้เพื่อน ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนคนนั้นคนนี้ พอได้เพื่อนพูดคุยแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อย่างนี้ชีวิตของคุณจะต้องขึ้นอยู่กับคนอื่นและต้องพึ่งพาทางใจจากคนอื่นอยู่เสมอ
ผลเสียของการเป็นคนขี้เหงาก็มีพอสมควรเช่น ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเอง ขาดการเรียนรู้ตนเอง ทำให้เพื่อนรำคาญเพราะโทรรบกวนบ่อยๆ อาจจะหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยด้วย และยังเปลืองค่าโทรศัพท์อีกด้วย
ถ้าคุณคิดว่าการเป็นคนขี้เหงาทำให้คุณและผู้อื่นเดือดร้อน อยากจะปรับปรุงตนเอง ลองเลือกใช้วิธีต่อไปนี้ซิคะ
ฝึกอยู่กับตนเองให้มากขึ้น โดยกำหนดว่าวันนี้จะลองอยู่คนเดียวสักวันจะเป็น อย่างไรด้วยการฟังเพลงที่ชอบ ดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ พร้อมทั้งลองสำรวจความรู้สึกตนเองดูเป็นระยะว่าทนได้แค่ไหน ทำไม ถึงจะทนไม่ได้ อยู่คนเดียวมันน่ากลัวหรือเสียหายตรงไหน
หากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทำ เช่น ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ซักผ้า ทำความสะอาดห้อง ล้างห้องน้ำ ฯลฯ จะช่วยทำให้เพลิดเพลิน เมื่อทำกิจกรรมเหล่านี้ลุล่วงแล้ว จะได้รับความภาคภูมิใจ และได้ความสะอาดของบ้านเรือนอีกด้วยค่ะ
ทำงานอดิเรก เลือกงานที่น่าสนใจและชอบ เช่นวาดรูป เล่นดนตรี ปักผ้า งานไม้ ฯลฯ จะได้รับความเพลิดเพลินเป็นอย่างดี หรือถ้าต้องการความชำนาญ ก็อาจจะไปเรียนเสริมในสิ่งที่ชอบก็ยิ่งดียิ่งขึ้นไปอีก
การโทรศัพท์หาเพื่อน ถ้าต้องการลดระยะเวลาที่โทร ก็กำหนดว่าจะคุยกับเพื่อนกี่นาที แล้วก็ทำตามที่ตั้งใจไว้
ลองเลือกนำไปใช้ดูนะคะ จะทำให้ได้ประโยชน์ต่อตนเองค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2549
ทำอย่างไรให้งานเสร็จทันเวลาและมีประสิทธิภาพ
การทำงานให้เสร็จทันเวลาในแต่ละวัน ต้องอาศัยเคล็ดลับ ไม่ยาก ไม่ยาก
ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะคือ
ความสำเร็จอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูกันเลย ...
++เตรียมพร้อม คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..
++อย่ารับงานมาก ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..
++อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด เพราะการทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลาไม่เป็น..
++รู้จักปฏิเสธ หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..
++อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ ไม่ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้องเสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อจะใช้ได้ง่าย..
++หาคนช่วย ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้วบอกเพื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย.. และ
++พักผ่อนบ้าง เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง
ต่อให้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน คุณก็สามารถทำให้งานต่าง ๆ เสร็จได้ไม่ยากเลย มาดูเคล็ดลับความสำเร็จกันเถอะคือ
ความสำเร็จอยู่ในมือคุณแล้ว มาดูกันเลย ...
++เตรียมพร้อม คือเตรียมรายการที่ต้องทำในแต่ละวัน จัดลำดับความสำคัญ แล้วทำสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน..
++อย่ารับงานมาก ไม่ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ควรตัดสินใจเลือกทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้เสร็จก่อนที่จะทำงานอื่นต่อไป..
++อย่าหวังว่าทำได้ดีที่สุด เพราะการทำทุกอย่างให้ดีไม่มีที่ตินั้น ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก ดังนั้นอย่าเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญจนกลายเป็นการบริหารเวลาไม่เป็น..
++รู้จักปฏิเสธ หากไม่สามารถทำได้ทันเวลาหรือเป็นงานที่เกินกำลัง..
++อย่าเสียเวลากับกองกระดาษ ไม่ควรเก็บเอกสารทุกอย่างรวมกันไว้เต็มโต๊ะ เพราะเมื่อต้องการใช้เอกสารสำคัญจะต้องเสียเวลานาน ควรจัดทำเป็นแฟ้มเอกสารเพื่อจะใช้ได้ง่าย..
++หาคนช่วย ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ถ้าเราเดือดร้อนแล้วบอกเพื่อน เพื่อนที่ดีจะช่วยเรา และเขาก็จะพอใจที่เราวางใจเขาให้ช่วย.. และ
++พักผ่อนบ้าง เช่น ถ้าเป็นเวลาทำงาน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถ้าเป็นหลังเลิกงานก็หาสิ่งที่ทำแล้วสบายใจ เช่นอ่านหนังสือหรือดูหนังฟังเพลง
วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2549
ฉันชื่อ โอกาส
ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก
เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง
ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก
แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่
คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา
รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร
ฉันชื่อโอกาส
ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา
ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส
ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?
เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก
เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้
ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน
จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย
แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน
ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว
ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว
ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่
จริงด้วย ทางด้านหน้าของ โอกาส
มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง
เพราะเมื่อปล่อยให้
โอกาส
ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก
โอกาส จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า
อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู
แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน
ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ
เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง
ให้รีบตัดสินใจ
ให้ลงมือทำ
ให้ออกแรง ให้สู้
เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ
จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป
เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง
ที่ฉัน โอกาส ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย
เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอู่ใจกลางเมือง
ปัจจุบันนี้ รูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก
แต่แผ่นที่จารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่
คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา
รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร
ฉันชื่อโอกาส
ใครเป็นคนแกะสลักท่านขึ้นมา
ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส
ทำไมท่านจึงยืนเขย่งเท้า?
เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก
เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้
ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน
จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย
แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน
ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว
ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว
ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่
จริงด้วย ทางด้านหน้าของ โอกาส
มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง
เพราะเมื่อปล่อยให้
โอกาส
ผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก
โอกาส จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า
อย่ามาต่อว่าฉัน ว่า ฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย
เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู
แต่เธอกลับไม่อยู่บ้าน
ทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ
เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง
ให้รีบตัดสินใจ
ให้ลงมือทำ
ให้ออกแรง ให้สู้
เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ
จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป
เธอจะได้ไม่ต้องนั่งเสียใจในภายหลัง
ที่ฉัน โอกาส ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย
วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2549
ทำอย่างไรดีไม่มีสมาธิทำงาน
ทำงานช้าและผิดพลาดบ่อยๆ เพราะขาดสมาธิในการทำงาน
หากคุณทำงานช้าและผิดพลาดบ่อยๆ เพราะขาดสมาธิในการทำงาน ชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้อนาคตของคุณคงไม่รุ่งแน่ มาดูวิธีสร้างสมาธิในการทำงานกันดีกว่า
หากคุณทำงานช้าและผิดพลาดบ่อยๆ เพราะขาดสมาธิในการทำงาน ชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้อนาคตของคุณคงไม่รุ่งแน่ มาดูวิธีสร้างสมาธิในการทำงานกันดีกว่า
วิธีสร้างสมาธิในการทำงาน
สมาธิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการทำงานทุกประเภท เพราะสมาธิจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ วิธีเสริมสร้างสมาธิในการทำงานมีดังนี้ครับ
-ฝึกการตั้งสมาธิในการทำงานช่วงสั้นๆ เช่น ใช้เวลา 5 นาทีเพื่อตรวจหาคำผิดจากเอกสารที่จะส่งไปให้ลูกค้า โดยไม่ยอมละสายตาจากตัวอักษร พยายามฝึกทุกวัน เมื่อทำได้ดีแล้วค่อยๆ ขยายเวลาให้ยาวขึ้น
-จัดลำดับงานที่จะทำตามความสำคัญ และจัดเอกสารให้เป็นระเบียบ
-ใช้เทปบันทึกเสียงบันทึกข้อมูลหรือคำสอนต่างๆ เพื่อฝึกสมาธิในการฟัง
-ถ้ามีทัศนคติที่ไม่ดีกับงานที่ทำอยู่ ควรเพิ่มแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจให้อยากทำงานนั้นมากขึ้น
-พยายามปรับปรุงสถานที่ทำงานให้ปลอดจากเสียงรบกวนต่างๆ มีแสงสว่างเพียงพอ มีการระบายอากาศที่ดี และข้อสุดท้าย ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง ถ้าจิตใจสงบ และมีสติ สมาธิในการทำงานก็จะเกิดขึ้นเอง
สมาธิเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในการทำงานทุกประเภท เพราะสมาธิจะช่วยให้เราทำงานได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ วิธีเสริมสร้างสมาธิในการทำงานมีดังนี้ครับ
-ฝึกการตั้งสมาธิในการทำงานช่วงสั้นๆ เช่น ใช้เวลา 5 นาทีเพื่อตรวจหาคำผิดจากเอกสารที่จะส่งไปให้ลูกค้า โดยไม่ยอมละสายตาจากตัวอักษร พยายามฝึกทุกวัน เมื่อทำได้ดีแล้วค่อยๆ ขยายเวลาให้ยาวขึ้น
-จัดลำดับงานที่จะทำตามความสำคัญ และจัดเอกสารให้เป็นระเบียบ
-ใช้เทปบันทึกเสียงบันทึกข้อมูลหรือคำสอนต่างๆ เพื่อฝึกสมาธิในการฟัง
-ถ้ามีทัศนคติที่ไม่ดีกับงานที่ทำอยู่ ควรเพิ่มแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจให้อยากทำงานนั้นมากขึ้น
-พยายามปรับปรุงสถานที่ทำงานให้ปลอดจากเสียงรบกวนต่างๆ มีแสงสว่างเพียงพอ มีการระบายอากาศที่ดี และข้อสุดท้าย ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง ถ้าจิตใจสงบ และมีสติ สมาธิในการทำงานก็จะเกิดขึ้นเอง
วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549
วิธีแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด
อย่าได้ท้อแท้และสิ้นหวัง จงลุกขึ้นสู้ใหม่อย่างมั่นใจ ไม่ว่าคุณจะประสบความล้มเหลวจากการทำงาน หรือสิ้นหวังจากสิ่งที่ทำผิดพลาด ขออย่าได้ท้อแท้และสิ้นหวัง จงลุกขึ้นสู้ใหม่อย่างมั่นใจ ด้วยเทคนิคแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้นดังนี้
เคล็ดลับเทคนิคแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้น - พยายามมองโลกในแง่ดี ด้วยความเชื่อมั่นว่าความล้มเหลวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
- ยอมเสี่ยง แต่ไม่ยอมแพ้ คือต้องกล้าคิดและกล้าลงมือทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ อย่ายอมแพ้เพราะกลัวจะผิดพลาดซ้ำอีก
- ตั้งเป้าหมายใหม่ และทำตามเป้าหมายด้วยความมั่นใจ
- ยอมรับอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามย่อมต้องมีอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ ถ้าเรายอมรับมันและหาทางแก้ไขหรือป้องกันอย่างเหมาะสม จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี
- ใช้ความล้มเหลวเป็นบทเรียน เพื่อค้นหาสาเหตุแห่งความผิดพลาด และข้อสุดท้าย ปิดใจให้กว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆบ้าง ซึ่งอาจจะทำให้เราได้ข้อคิดดีๆ และมุมมองใหม่ๆ ที่กระตุ้นจิตใจให้มีพลังในการค้นหาความสำเร็จต่อไปค่ะ
เคล็ดลับเทคนิคแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้น - พยายามมองโลกในแง่ดี ด้วยความเชื่อมั่นว่าความล้มเหลวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
- ยอมเสี่ยง แต่ไม่ยอมแพ้ คือต้องกล้าคิดและกล้าลงมือทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ อย่ายอมแพ้เพราะกลัวจะผิดพลาดซ้ำอีก
- ตั้งเป้าหมายใหม่ และทำตามเป้าหมายด้วยความมั่นใจ
- ยอมรับอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามย่อมต้องมีอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ ถ้าเรายอมรับมันและหาทางแก้ไขหรือป้องกันอย่างเหมาะสม จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี
- ใช้ความล้มเหลวเป็นบทเรียน เพื่อค้นหาสาเหตุแห่งความผิดพลาด และข้อสุดท้าย ปิดใจให้กว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆบ้าง ซึ่งอาจจะทำให้เราได้ข้อคิดดีๆ และมุมมองใหม่ๆ ที่กระตุ้นจิตใจให้มีพลังในการค้นหาความสำเร็จต่อไปค่ะ
เพื่อนรัก...รักเพื่อน
...... มีคนกล่าวว่า ......... ......เพื่อนแท้เหมือน หิ่งห้อย
มองเห็นชัดในความมืด
ในยามลำบาก ยามมืดมน และไร้ที่พึ่ง
เพือนแท้อยู่เคียงข้างเราเสมอ
.......มิตรภาพที่ยั่งยืนนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้
มันไม่ได้วัดกันที่ความสูงของต้นไม้
แต่วัดกันที่ความลึกของรากต้นไม้
ที่หยั่งลึกลงไปในดินต่างหาก
.......ความทรงจำที่ดีนั้นมีคุณค่าเสมอ
เพราะนอกจากจะทำให้เรามีกำลังใจ
ที่จะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว
ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กระทำความดี
- - ระเด่นบุษบา - -
มองเห็นชัดในความมืด
ในยามลำบาก ยามมืดมน และไร้ที่พึ่ง
เพือนแท้อยู่เคียงข้างเราเสมอ
.......มิตรภาพที่ยั่งยืนนั้นเปรียบเสมือนต้นไม้
มันไม่ได้วัดกันที่ความสูงของต้นไม้
แต่วัดกันที่ความลึกของรากต้นไม้
ที่หยั่งลึกลงไปในดินต่างหาก
.......ความทรงจำที่ดีนั้นมีคุณค่าเสมอ
เพราะนอกจากจะทำให้เรามีกำลังใจ
ที่จะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว
ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กระทำความดี
- - ระเด่นบุษบา - -
เดินตามรอยเท้าพ่อ
นิตยสาร National Geographic ประจำเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 ได้เทิดทูนในหลวง โดยลงบทความเรื่อง Thailand's Working Royalty หมายถึง "พระราชกรณียกิจใหญ่หลวงนัก" ท้ายสุดได้อัญเชิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เรื่อง "เดินตามรอยเท้าพ่อ" โดยถ่ายทอด เป็นภาษาอังกฤษ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการประกอบพระราชกรณียกิจ ซึ่งคนไทยทุกคนสมควรที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่เปรียบมิได้
วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2549
ย่ำอยู่กับที่.....มีหรือจะก้าวหน้า
คุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการเปลี่ยนแปลง จนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าหรือไม่
คนทำงานที่กลัวการเปลี่ยนแปลงระบบการปฏิบัติงาน หรือมีความคิดต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสะสมอยู่ในจิตใจจะไม่มีโอกาสได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการทำงานของตนให้ดีขึ้น
ในที่สุดจะถูกคนอื่นแซงหน้าไป ฉะนั้นถ้าอยากมีความก้าวหน้าต้องหมั่นเตือนตนเองอยู่เสมอว่า สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันยังไม่ดีพอ ต้องปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ต้องเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำได้ และยอมรับนับถือในคุณค่าของตนเอง.... แนะนำให้เริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ง่ายๆก่อน แล้วค่อยไปสู่สิ่งที่ยากขึ้น
เพราะถ้าเป็นเรื่องง่ายก็จะเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จได้ไม่ยาก ซึ่งคนเราเมื่อทำครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเกิดกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นๆ ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปในอนาคต... อย่างไรก็ตาม
ขอย้ำว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต้องทำอย่างต่อเนื่อง หยุดนิ่งไม่ได้ เพราะการย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับเรากำลังถอยหลังลงไปทุกวัน
ในที่สุดจะถูกคนอื่นแซงหน้าไป ฉะนั้นถ้าอยากมีความก้าวหน้าต้องหมั่นเตือนตนเองอยู่เสมอว่า สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันยังไม่ดีพอ ต้องปรับปรุงให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ต้องเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำได้ และยอมรับนับถือในคุณค่าของตนเอง.... แนะนำให้เริ่มเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ง่ายๆก่อน แล้วค่อยไปสู่สิ่งที่ยากขึ้น
เพราะถ้าเป็นเรื่องง่ายก็จะเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จได้ไม่ยาก ซึ่งคนเราเมื่อทำครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเกิดกำลังใจที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นๆ ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปในอนาคต... อย่างไรก็ตาม
ขอย้ำว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต้องทำอย่างต่อเนื่อง หยุดนิ่งไม่ได้ เพราะการย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับเรากำลังถอยหลังลงไปทุกวัน
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2549
ทำอย่างไรเมื่อหมดไฟการทำงาน
เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกหมดความตั้งใจหรือหมดไฟในการทำงาน อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นนานๆ เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ควรหาทางแก้ไขด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
หาเวลาหยุดพักช่วงสั้นๆระหว่างวัน เพื่อดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรืออ่านหนังสือเบาสมองเพื่อผ่อนคลายความเครียด
หยุดพักร้อน เพื่อไปพักผ่อนตากอากาศชายทะเล
พยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อจะได้พูดคุย ระบายความทุกข์ หรือขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
ลองหางานแปลกๆทำเพื่อลดความซ้ำซากจำเจ
หางานอดิเรกทำตอนเลิกงานหรือในวันหยุด เช่น เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ และเลี้ยงสัตว์
พูดคุยกับสมาชิกในครอบครัว ถึงปัญหาและทัศนคติเกี่ยวกับการทำงาน ทั้งความรู้สึกที่ดีและไม่ดี อย่าเก็บความอัดอั้นไว้ในใจคนเดียว...
เมื่อจิตใจจะสบายหายเครียด ความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการทำงานก็จะค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม
วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2549
ตัวหนังสือไทย
ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พบว่า มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของตัวหนังสือไทย เอาไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อก่อนนี้ลายสือไทนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะเมีย พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจและใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"
ได้มีผู้สันนิษฐาน เรื่องตัวหนังสือไทยไว้หลายแง่มุม เช่น จารึกอักษรที่ภาพชาดกที่ผนังอุโมงวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย น่าจะเป็นตัวหนังสือที่มีมาก่อนตัวหนังสือจากศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ปรับปรุงตัวหนังสือเก่าที่เคยมีมาแล้ว จัดวางสระเสียใหม่ คำว่าใส่อาจหมายถึง การกระทำเช่นนี้ แต่ก็สรุปได้ว่า แต่ก่อนไม่มีตัวหนังสือไทยแบบนี้ และเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีผู้ทราบว่า มีตัวหนังสือไทยแบบอื่นใช้มาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย
จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พบว่า มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของตัวหนังสือไทย เอาไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อก่อนนี้ลายสือไทนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะเมีย พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจและใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"
ได้มีผู้สันนิษฐาน เรื่องตัวหนังสือไทยไว้หลายแง่มุม เช่น จารึกอักษรที่ภาพชาดกที่ผนังอุโมงวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย น่าจะเป็นตัวหนังสือที่มีมาก่อนตัวหนังสือจากศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ปรับปรุงตัวหนังสือเก่าที่เคยมีมาแล้ว จัดวางสระเสียใหม่ คำว่าใส่อาจหมายถึง การกระทำเช่นนี้ แต่ก็สรุปได้ว่า แต่ก่อนไม่มีตัวหนังสือไทยแบบนี้ และเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีผู้ทราบว่า มีตัวหนังสือไทยแบบอื่นใช้มาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย
ไทยเราเป็นชาติที่เจริญเก่าแก่มาแต่โบราณกาล
ได้มีการศึกษาค้นคว้ามาว่า ชาติไทยนั้น เคยมีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดน ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ภาษาพูด คนไทยเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่เรายังคงไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายง่ายเหมือนเรื่องอื่น แม้ในปัจจุบัน คนที่พูดภาษา ซึ่งพอจะย้อนไปได้ว่า ต้นตอเป็นภาษาไทย มีอาศัยอยู่ทั่วไป ในดินแดนที่กว้างใหญ่ของจีน ในมณฑลอัสสัมของอินเดีย ในรัฐฉานตอนเหนือของพม่า ในลาวทั้งหมด ในเวียดนามตอนเหนือ เรายังพอพูดพอฟังเข้าใจกันได้ ในเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน คำหลัก ๆ การสร้างรูปประโยค และไวยากรณ์ ยังคงอยู่
ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นภาษาที่กำหนดเอาเสียงหนึ่ง แทนความหมายหนึ่ง จึงมีคำที่มีเสียงโดดเสียงเดียวอยู่เป็นอันมาก ทำให้ต้องมีคำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยการทำเสียงสูง เสียงต่ำ ให้มีความหมายแตกต่างกัน เพื่อให้มีเสียงพอกับคำที่คิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องมีคำผสมของเสียงหลายพยางค์ เพิ่มเติมขึ้นอีก ความแตกต่างจากภาษาอื่นประการหนึ่งคือ เรามีเสียงวรรณยุกต์ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์วรรณยุกต์ขึ้น ๒ เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท ซึ่งเมื่อใช้ควบกับอักษรเสียงสูงและเสียงต่ำ หรือใช้อักษร "ห" นำอักษรเสียงต่ำ ที่ไม่มีคู่อักษรเสียงสูงแล้ว ก็สามารถผันเสียงได้ถึง ๕ เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา
ภาษาจีนก็มีเสียงที่เป็นวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเครื่องหมายเขียนในตัวหนังสือ เสียงวรรณยุกต์ของจีนนี้ บ้างก็ว่ามี ๔ เสียง และสูงสุดถึง ๘ เสียง
ซึ่งเมื่อเทียบกับวรรณยุกต์ไทย ก็คงจะเป็นเสียง ที่เกิดจากวรรณยุกต์ ผสมกับสระเสียงสั้นเสียงยาว ซึ่งทางไทยเราแยกเสียงออกไปในรูปสระ ภาษาจีนและภาษาไทย มีรูปประโยคที่เกิดจากการเอาคำมาเรียงกันเป็นประโยค ข้อแตกต่างของไวยากรณ์ไทย ที่ไม่เหมือนของจีน ที่สำคัญคือ คำคุณศัพท์ขยายนาม ภาษาไทยเราเอาไว้หลังนาม แต่จีนเอาไว้หน้านาม เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ คำวิเศษณ์ที่ประกอบกริยา ภาษาไทยเอาไว้ตามหลังกริยา แต่ภาษาจีนมักไว้หน้ากริยา คำวิเศษณ์ที่ประกอบคุณศัพท์ ภาษาไทยเอาไว้หลังคุณศัพท์ แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้าคุณศัพท์ และลักษณะนาม ภาษาไทยจะไว้หลังนาม แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้านาม
ได้มีการศึกษาค้นคว้ามาว่า ชาติไทยนั้น เคยมีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดน ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ภาษาพูด คนไทยเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่เรายังคงไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายง่ายเหมือนเรื่องอื่น แม้ในปัจจุบัน คนที่พูดภาษา ซึ่งพอจะย้อนไปได้ว่า ต้นตอเป็นภาษาไทย มีอาศัยอยู่ทั่วไป ในดินแดนที่กว้างใหญ่ของจีน ในมณฑลอัสสัมของอินเดีย ในรัฐฉานตอนเหนือของพม่า ในลาวทั้งหมด ในเวียดนามตอนเหนือ เรายังพอพูดพอฟังเข้าใจกันได้ ในเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน คำหลัก ๆ การสร้างรูปประโยค และไวยากรณ์ ยังคงอยู่
ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นภาษาที่กำหนดเอาเสียงหนึ่ง แทนความหมายหนึ่ง จึงมีคำที่มีเสียงโดดเสียงเดียวอยู่เป็นอันมาก ทำให้ต้องมีคำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยการทำเสียงสูง เสียงต่ำ ให้มีความหมายแตกต่างกัน เพื่อให้มีเสียงพอกับคำที่คิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องมีคำผสมของเสียงหลายพยางค์ เพิ่มเติมขึ้นอีก ความแตกต่างจากภาษาอื่นประการหนึ่งคือ เรามีเสียงวรรณยุกต์ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์วรรณยุกต์ขึ้น ๒ เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท ซึ่งเมื่อใช้ควบกับอักษรเสียงสูงและเสียงต่ำ หรือใช้อักษร "ห" นำอักษรเสียงต่ำ ที่ไม่มีคู่อักษรเสียงสูงแล้ว ก็สามารถผันเสียงได้ถึง ๕ เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา
ภาษาจีนก็มีเสียงที่เป็นวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเครื่องหมายเขียนในตัวหนังสือ เสียงวรรณยุกต์ของจีนนี้ บ้างก็ว่ามี ๔ เสียง และสูงสุดถึง ๘ เสียง
ซึ่งเมื่อเทียบกับวรรณยุกต์ไทย ก็คงจะเป็นเสียง ที่เกิดจากวรรณยุกต์ ผสมกับสระเสียงสั้นเสียงยาว ซึ่งทางไทยเราแยกเสียงออกไปในรูปสระ ภาษาจีนและภาษาไทย มีรูปประโยคที่เกิดจากการเอาคำมาเรียงกันเป็นประโยค ข้อแตกต่างของไวยากรณ์ไทย ที่ไม่เหมือนของจีน ที่สำคัญคือ คำคุณศัพท์ขยายนาม ภาษาไทยเราเอาไว้หลังนาม แต่จีนเอาไว้หน้านาม เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ คำวิเศษณ์ที่ประกอบกริยา ภาษาไทยเอาไว้ตามหลังกริยา แต่ภาษาจีนมักไว้หน้ากริยา คำวิเศษณ์ที่ประกอบคุณศัพท์ ภาษาไทยเอาไว้หลังคุณศัพท์ แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้าคุณศัพท์ และลักษณะนาม ภาษาไทยจะไว้หลังนาม แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้านาม
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
ย้อนรอยเงินตราของไทย
เรื่องของเงินตรา
จากหลักฐานที่ค้นพบในบริเวณที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบัน มีเงินตราในยุคแรก ได้แก่เหรียญฟูนัน ทวาราวดี และศรีวิชัย ทางภาคเหนือมีเงินล้านนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเงินล้านช้าง ดังนั้นเงินตราของไทยจึงมีความหลากหลายในรูปลักษณะ และมีที่มาที่น่าสนใจ
แม้ว่าเงินตราดังกล่าว จะมีมา ก่อนที่จะตั้งประเทศไทย หรือรัฐไทยก็ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย และจีนผสมผสานกัน แต่ก็ได้หล่อหลอมกันมา จนปรากฎเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และยืนยงคง อยู่นานกว่าหกศตวรรษ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาผ่านสมัยอยุธยา สืบต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่งมาเลิกใช้ในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ เงินตราดังกล่าวได้แก่ เงินพดด้วง
หลังจากนั้น ประเทศไทยก็หันมาใช้เหรียญกษาปณ์แบบประเทศตะวันตกโดยได้มีการริเริ่มตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยัง ไม่ทันได้ออกใช้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าให้สร้างโรงกษาปณ์เพื่อผลิต เหรียญกษาปณ์ออกใช้ ตั้งอยู่ที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรม มหาราชวัง พระราชทานนามว่า โรงกษาปณ์สิทธิการเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๐๓
จากหลักฐานที่ค้นพบในบริเวณที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบัน มีเงินตราในยุคแรก ได้แก่เหรียญฟูนัน ทวาราวดี และศรีวิชัย ทางภาคเหนือมีเงินล้านนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเงินล้านช้าง ดังนั้นเงินตราของไทยจึงมีความหลากหลายในรูปลักษณะ และมีที่มาที่น่าสนใจ
แม้ว่าเงินตราดังกล่าว จะมีมา ก่อนที่จะตั้งประเทศไทย หรือรัฐไทยก็ได้รับอารยธรรมจากอินเดีย และจีนผสมผสานกัน แต่ก็ได้หล่อหลอมกันมา จนปรากฎเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน และยืนยงคง อยู่นานกว่าหกศตวรรษ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาผ่านสมัยอยุธยา สืบต่อมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่งมาเลิกใช้ในรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ เงินตราดังกล่าวได้แก่ เงินพดด้วง
หลังจากนั้น ประเทศไทยก็หันมาใช้เหรียญกษาปณ์แบบประเทศตะวันตกโดยได้มีการริเริ่มตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยัง ไม่ทันได้ออกใช้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าให้สร้างโรงกษาปณ์เพื่อผลิต เหรียญกษาปณ์ออกใช้ ตั้งอยู่ที่หน้าพระคลังมหาสมบัติในพระบรม มหาราชวัง พระราชทานนามว่า โรงกษาปณ์สิทธิการเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๐๓
หลังจากเริ่มใช้เหรียญกษาปณ์ประมาณครึ่งศตวรรษ ความไม่พอเพียงต่อการใช้งาน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการค้าทำให้รัฐบาลต้อง ออก ธนบัตรเงินตรากระดาษ ไปใช้ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ทั้งเหรียญกษาปณ์และธนบัตรได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
อวสานของกรุงศรีอยุธยา
![]() |
กรุงศรีอยุธยา ถึงกาลล่มสลายอย่างย่อยยับ |
เมื่อมีเกิดก็มีดับ กรุงศรีอยุธยาดำรงความเป็นราชธานีไทย ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองจนล่วงมาถึง สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เป็นระยะเวลา ๔๑๗ ปี นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๑๘๙๔ ถึง ปี พ.ศ.๒๓๑๐ ก็ถึงกาลล่มสลายอย่างย่อยยับด้วยความอ่อนแอ ของคนไทยเราเอง เพื่อให้เห็นภาพลักษณ์ดังกล่าว จึงขอยกเอาคำรำพึงของมหากวีเอกของไทยคือสุนทรภู่ ที่ได้บรรยายไว้ในนิราศพระบาทถึงสภาพของ กรุงศรีอยุธยาไว้บางตอนดังนี้
........... ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
.................................
........... ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
........... ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน
อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
.................................
........... ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
กรุงศรีอยุธยามรดกไทยและมรดกโลก
![]() |
การอนุรักษ์โบราณสถานต่าง ๆ อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งได้เริ่มงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยเริ่มขุดแข่งบูรณะพระราชวังโบราณ วิหารพระมงคลบพิตร วัดพระศรีสรรเพชญ วัดพระราม วัดมหาธาตุ และวัดราชบูรณะ
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ก็ได้ดำเนินการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานต่าง ๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จึงได้ประกาศ เขตอุทยานประวัติศาสตร์ มีพื้นที่ครอบคลุมโบราณสถานดังกล่าว มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น ๑๘๑๐ ไร่
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ก็ได้ดำเนินการสำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานต่าง ๆ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๐ จึงได้ประกาศ เขตอุทยานประวัติศาสตร์ มีพื้นที่ครอบคลุมโบราณสถานดังกล่าว มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น ๑๘๑๐ ไร่
ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ กรมศิลปากร ได้เริ่มจัดทำแผนแม่บท นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ได้ขยายขอบเขตพื้นที่ จากบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เดิมให้ครอบคลุม เกาะเมืองทั้งเกาะ รวมทั้งบริเวณโดยรอบ รวมทั้งฟื้นฟูบรรยากาศของเมืองเก่า และสภาพแวดล้อม เช่น สร้างป้อมและกำแพงเมืองขึ้นมาใหม่ เป็นบางส่วน ตามแนวกำแพงเมืองเดิม ขุดลอกคูคลองโบราณให้ใช้สัญจร ได้สมจริง ตลอดจนพัฒนาย่านการค้าและหัตถกรรม ที่มีอยู่แต่โบราณ เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๓๔ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ( United Nation Education Science and Culture Organization) ได้คัดเลือกให้นครประวัติศาสตร์ศรีอยุธยา เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง ของไทย ที่นานาชาติได้เห็นคุณค่า และความสำคัญ อย่างยิ่งยวดของมรดกไทยอันมีคุณค่ายิ่งของไทย
โบราณสถานทั้งในเกาะเมืองและรอบเกาะเมืองมีอยู่มากมายหลายร้อยแห่ง เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ได้ถูกทำลายลงไป ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ พบว่า ในบริเวณดังกล่าวมีโบราณสถานมากกว่า ๔๐๐ แห่ง แต่ต่อมาอีก ๒๐ ปี คือเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ โบราณสถานดังกล่าวได้ถูกทำลายไปจนเหลืออยู่เพียง ๒๔๙ แห่งเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล ห่วงใยในมรดกของชาติในส่วนนี้เป็นอย่างยิ่ง สมควรที่ชาวไทยทุกหมู่ทุกเหล่าได้มีจิตสำนึก ในการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งแม้แต่ประชาคมโลกก็ยังเห็นคุณค่าอันสูงส่งนี้ ให้ดำรงคงอยู่เป็นเกียรติประวัติ เป็นความภาคภูมิใจ ของประชาชาวไทยตลอดไป
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
หลักศิลาจารึก ชนชาติไทย
![]() |
พลิกปลูม ศิลาจารึกหลักที่ 1
ร.4 ขณะดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ และทรงเพศบรรพชิต ได้เสด็จไปจาริกแสวงบุญที่เมืองสุโขทัยเก่า เมื่อ พ.ศ. 2376 และทรงพบจารึกหลักที่ 1 แห่งเดียวกับพระแท่นมนังคศิลา คือ เนินปราสาท ตรงข้ามวัดมหาธาตุ
ศิลาจารึกนี้ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า จารึกของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งได้จารึกขึ้นในปี พ.ศ. 1835
ภาษาที่ใช้และตัวอักษร เป็นภาษาไทย
ตอนที่ 1
ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 1-18 เป็นพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหง โดยใช้คำว่า "กู" เป็นพื้น ดังปรากฏหลักฐาน ในศิลาจารึก คือ
"พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูเชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้าย ตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก..."
ตอนที่ 2
ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 19 ถึงด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 รวม 90 บรรทัด เป็นการพรรณนาถึงเมืองสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง เกี่ยวกับสภาพบ้านเมือง ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎหมาย พระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา การสร้างพระแท่นศิลาบาตร การประดิษฐ์ลายสือไท แต่ไม่ได้ใช้คำว่า "กู" แต่ใช้คำว่า "พ่อขุนรามคำแหง" เช่น "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง...ลายสือไทนี้จึงมีขึ้นเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ "
ตอนที่ 3
ตั้งแต่ด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 จนถึงบรรทัดสุดท้าย รวม 16 บรรทัด เป็นการกล่าวสรุปสรรเสริญ และยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รวมทั้งกล่าวถึงอาณาเขตของอาณาจักร เมืองสุโขทัย
ในตอนนี้ ตัวหนังสือไม่เหมือนกับตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ด้วย มีพยัญชนะลีบกว่า และสระที่ใช้ก็ต่างกันบ้าง
ร.4 ขณะดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฯ และทรงเพศบรรพชิต ได้เสด็จไปจาริกแสวงบุญที่เมืองสุโขทัยเก่า เมื่อ พ.ศ. 2376 และทรงพบจารึกหลักที่ 1 แห่งเดียวกับพระแท่นมนังคศิลา คือ เนินปราสาท ตรงข้ามวัดมหาธาตุ
ศิลาจารึกนี้ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า จารึกของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งได้จารึกขึ้นในปี พ.ศ. 1835
ภาษาที่ใช้และตัวอักษร เป็นภาษาไทย
ตอนที่ 1
ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 1-18 เป็นพระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหง โดยใช้คำว่า "กู" เป็นพื้น ดังปรากฏหลักฐาน ในศิลาจารึก คือ
"พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูเชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือผู้อ้าย ตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก..."
ตอนที่ 2
ตั้งแต่ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 19 ถึงด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 รวม 90 บรรทัด เป็นการพรรณนาถึงเมืองสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง เกี่ยวกับสภาพบ้านเมือง ขนบธรรมเนียม ประเพณี กฎหมาย พระพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา การสร้างพระแท่นศิลาบาตร การประดิษฐ์ลายสือไท แต่ไม่ได้ใช้คำว่า "กู" แต่ใช้คำว่า "พ่อขุนรามคำแหง" เช่น "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง...ลายสือไทนี้จึงมีขึ้นเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้ "
ตอนที่ 3
ตั้งแต่ด้านที่ 4 บรรทัดที่ 11 จนถึงบรรทัดสุดท้าย รวม 16 บรรทัด เป็นการกล่าวสรุปสรรเสริญ และยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช รวมทั้งกล่าวถึงอาณาเขตของอาณาจักร เมืองสุโขทัย
ในตอนนี้ ตัวหนังสือไม่เหมือนกับตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ด้วย มีพยัญชนะลีบกว่า และสระที่ใช้ก็ต่างกันบ้าง
![]() |
|
หลักที่ 2 พบที่วัดศรีชุม กล่างถึงประวัติพระนัดดาพ่อขุนผาเมือง
หลักที่ 3 มีผู้นำไปไว้ที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวถึงเรื่องของพระเจ้าลิไท และสภาพกรุงสุโขทัย
หลักที่ 4 พบที่เนินปราสาทตรงข้ามวัดพระศรีมหาธาตุ กล่าวถึงการออกผนวช ที่วัดป่ามะม่วง
หลักที่ 5 พบที่วัดป่ามะม่วง กล่างถึงเรื่องพระเจ้าลิไทขึ้นครองราชย์
หลักที่ 6 พบที่วัดป่ามะม่วง กล่างถึงเรื่องการผนวชพระเจ้าลิไท
หลักที่ 7 ไม่ปรากฏที่พบ เรียกกันว่า จารึกวัดพระมหาธาตุ-วัดพระศรี
หลักที่ 8 พบบนเขาพระบาทใหญ่ (เขาสุมนกูฎ) กล่าวถึงเรื่องการราชาภิเศกพระเจ้าลิไท
หลักที่ 9 ไม่ปรากฎที่พบ เรียกกันว่า จารึกวัดป่าแดง
![]() |
หลักที่ 11 พบที่ยอดเขากบ ปากน้ำโพ กล่างถึงประวัติและผลงานของมหาเถรศรีศรัทธา
หลักที่ 38 ไม่ปรากฎหลักฐานที่พบ เนื้อความเป็นกฎหมายในสมัยสุโขทัย
หลักที่ 45 พบที่หน้าวิหารกลางวัดมหาธาตุ กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานต่อกันของเจ้านายกรุงสุโขทัย และความสัมพันธ์ระหว่าง สุโขทัยกับน่าน
หลักที่ 64 พบที่วัดช้างค้ำ จังหวัดน่าน กล่าวถึงกลุ่มเมืองทางด้านเหนือของกรุงสุโขทัย
หลักที่ 76 พบที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการสร้างเมืองเชียงใหม่ และวัดเชียงมั่น
หลักที่ 93 พบที่วัดอโศการาม นอกเมืองสุโขทัยเก่า พระราชเทวีศรีจุฬาลักษณอัครราชมเหสี และพระราชโอรส นำพระบรมธาตุที่ได้จากลังกา มาประดิษฐานไว้ที่วัดอโศการาม
หลักที่ 102 พบที่วัดตระพังช้างเผือก สุโขทัย เนื้อความขาดหายไปมาก
หลักที่ 106 พบที่วัดช้างล้อม สุโขทัย กล่าวถึงการบวช การสร้าง และบูรณะวัด สมัยพระเจ้าลิไท
หลักที่ 38 ไม่ปรากฎหลักฐานที่พบ เนื้อความเป็นกฎหมายในสมัยสุโขทัย
หลักที่ 45 พบที่หน้าวิหารกลางวัดมหาธาตุ กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานต่อกันของเจ้านายกรุงสุโขทัย และความสัมพันธ์ระหว่าง สุโขทัยกับน่าน
หลักที่ 64 พบที่วัดช้างค้ำ จังหวัดน่าน กล่าวถึงกลุ่มเมืองทางด้านเหนือของกรุงสุโขทัย
หลักที่ 76 พบที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงการสร้างเมืองเชียงใหม่ และวัดเชียงมั่น
หลักที่ 93 พบที่วัดอโศการาม นอกเมืองสุโขทัยเก่า พระราชเทวีศรีจุฬาลักษณอัครราชมเหสี และพระราชโอรส นำพระบรมธาตุที่ได้จากลังกา มาประดิษฐานไว้ที่วัดอโศการาม
หลักที่ 102 พบที่วัดตระพังช้างเผือก สุโขทัย เนื้อความขาดหายไปมาก
หลักที่ 106 พบที่วัดช้างล้อม สุโขทัย กล่าวถึงการบวช การสร้าง และบูรณะวัด สมัยพระเจ้าลิไท
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
มลพิษแห่งความเกลียดชัง
A kindergarten teacher has decided to let her class play a game. The teacher told each child in the class to bring along a plastic bag containing a few potatoes. Each potato will be given a name of a person that the child hates, so the number of potatoes that a child will put in his/her plastic bag will depend on the number of people he/she hates.
คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกมได้ ดังนั้นเธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้นนำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขาจะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจไม่ชอบ
So when the day came, every child brought some potatoes with the name of the people he/she hated. Some had 2 potatoes; some 3 while some up to 5 potatoes. The teacher then told the children to carry with them the potatoes in the plastic bag wherever they go (even to the toilet) for 1 week. และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆ ทุกคนก็นำฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน 2 หัว บางคนมีมัน 3 หัว ในขณะที่บางคนมีถึง 5 หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆ แห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์
Days after days passed by,and the children started to complain due to the unpleasant smell let out by the rotten potatoes. Besides, those having 5 potatoes also had to carry heavier bags. After 1 week, the children were elieved because the game had finally ended....
หลังจากที่หลายๆ วันผ่านไป พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้นเด็กที่มีมันฝรั่ง 5 หัวก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา 1 อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อยเพราะเกมได้จบลงแล้ว
The teacher asked: "How did you feel while carrying the potatoes with you for 1 week?". The children let out their frustrations and started complaining of the trouble that they had to go through having to carry the heavy and smelly potatoes wherever they go.
คุณครูถามว่า “พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ 1 อาทิตย์” พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเน่าเหม็น
Then the teacher told them the hidden meaning behind the game. The teacher said: "This is exactly the situation when you carry your hatred for somebody inside your heart. The stench of hatred will contaminate your heart and you will carry it with you wherever you go. If you cannot tolerate the smell of rotten potatoes for just 1 week, can you imagine what is it like to have the stench of hatred in your heart for your lifetime???"
หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม คุณครูกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบก เก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆ ที่ที่เราไป ถ้าขนาดที่เรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง 1 อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบกเก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต ?”
Moral of the story:
Throw away any hatred for anyone from your heart so that you
will not carry sins for a lifetime. Forgiving others is the best attitude
to take! Love others even if you don't like them
คติสอนใจจากนิทานเรื่องนี้ คือ :
โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจของคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกรับบาปนี้ไปชั่วชีวิต ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพวกเขา
คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่งตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกมได้ ดังนั้นเธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้นนำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขาจะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจไม่ชอบ
So when the day came, every child brought some potatoes with the name of the people he/she hated. Some had 2 potatoes; some 3 while some up to 5 potatoes. The teacher then told the children to carry with them the potatoes in the plastic bag wherever they go (even to the toilet) for 1 week. และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆ ทุกคนก็นำฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน 2 หัว บางคนมีมัน 3 หัว ในขณะที่บางคนมีถึง 5 หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆ แห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์
Days after days passed by,and the children started to complain due to the unpleasant smell let out by the rotten potatoes. Besides, those having 5 potatoes also had to carry heavier bags. After 1 week, the children were elieved because the game had finally ended....
หลังจากที่หลายๆ วันผ่านไป พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้นเด็กที่มีมันฝรั่ง 5 หัวก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา 1 อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อยเพราะเกมได้จบลงแล้ว
The teacher asked: "How did you feel while carrying the potatoes with you for 1 week?". The children let out their frustrations and started complaining of the trouble that they had to go through having to carry the heavy and smelly potatoes wherever they go.
คุณครูถามว่า “พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ 1 อาทิตย์” พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเน่าเหม็น
Then the teacher told them the hidden meaning behind the game. The teacher said: "This is exactly the situation when you carry your hatred for somebody inside your heart. The stench of hatred will contaminate your heart and you will carry it with you wherever you go. If you cannot tolerate the smell of rotten potatoes for just 1 week, can you imagine what is it like to have the stench of hatred in your heart for your lifetime???"
หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม คุณครูกล่าวว่า “นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบก เก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆ ที่ที่เราไป ถ้าขนาดที่เรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง 1 อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบกเก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต ?”
Moral of the story:
Throw away any hatred for anyone from your heart so that you
will not carry sins for a lifetime. Forgiving others is the best attitude
to take! Love others even if you don't like them
คติสอนใจจากนิทานเรื่องนี้ คือ :
โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจของคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกรับบาปนี้ไปชั่วชีวิต ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าคุณจะไม่ชอบพวกเขา
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
EQ กับวัยทำงาน
อีคิว เรียกเป็นภาษาไทยเก๋ๆ ว่า ความฉลาดทางอารมณ์ เป็น ความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นสามารถเป็นการ บริหารจัดการอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม รับผิดชอบ และจัดการปัญหา อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ตลอดจนดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุข นัก จิตวิทยาหลายท่านที่มีความเชื่อว่าความสำเร็จหรือความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้มาจากความสามารถทางเชาว์ปัญญา หรือความเก่งในด้านการเรียนอย่างเดียว เรา อาจมีประสบการณ์ว่าคนที่เรียนเก่งได้รับเกียรตินิยม ก็ไม่ได้เป็นตัวรับประกันว่าคนๆนั้น จะประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวหรือหน้าที่การงานเสมอไป คนเรียนเก่งแต่เข้ากับคนอื่นไม่ได้ มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเป็นสิ่งที่เราเองมีโอกาสพบเจอได้เสมอ
อีคิวพัฒนาได้แม้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วเนื่อง จากการพัฒนาการทางจิตใจยังคงสามารถดำเนินไปเสมอแม้เราจะอายุเพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ว่าบางท่านอาจจะช้าเร็วไม่เท่ากัน เราอาจจะเห็นได้ว่าบางคนอายุมากแล้วแต่การแสดงอารมณ์ยังดูเหมือนเด็กๆ แต่บางคนก็ดูโตกว่าวัยขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และฝึกตนเอง ก่อนฝึกฝนพัฒนา อีคิว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อารมณ์นั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางด้านจิตใจ เมื่อมีสิ่งกระตุ้นเกิดขึ้น การแสดงออกด้านอารมณ์ของมนุษย์ทั่วๆโลกคล้ายๆกัน ไม่ว่าจะเสียใจ ดีใจ กังวล โกรธ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เราจะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น อีคิว เกิดได้ต้องฝึกฝน สามารถประยุกต์ไปฝึกในชีวิตประจำวันได้ เริ่มต้นของการฝึกฝนพัฒนาอีคิว ต้องฝึก 3 ส่วน คือฝึกความเก่งในเรื่องเข้าใจอารมณ์ความเก่งรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ และความเก่งในการสร้างความสุข
เก่งเข้าใจอารมณ์ ฝึก ด้วยการรู้และบอกอารมณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับอารมณ์ที่เกิดไม่ว่าเป็นด้านบวกหรือลบ เช่น "วันนี้โดนดุ เซ็งมาก" ไม่เก็บกดการบอกอารมณ์และยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้อารมณ์ด้านลบนั้นลด ลงได้เร็ว ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือเก็บกดไม่ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้อารมณ์สะสมมากขึ้นจนสุดท้ายไม่ สามารถควบคุมได้ ระเบิดอารมณ์ออกมา เมื่อฝึกได้แล้วเราจะเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น และสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้เหมาะสมเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
ฝึกความเก่งด้านความรับผิดชอบ แก้ปัญหา สร้างแรงจูงใจ ลอง นึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ท่านประสบความสำเร็จอะไรบ้าง และเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป้าหมายที่วางไว้สำเร็จลุล่วง และเวลาท้อแท้ มีปัญหา ท่านทำอย่างไรบ้าง คงจำประสบการณ์ได้ว่า ท่านทำอย่างไรบ้างกว่าจะเรียนจบ รับปริญญาได้
เมื่อก้าวสู่ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างกัน คน ที่สร้างเป้าหมายให้ตนเองก็จะมีแรงจูงใจในการที่จะทำงาน ทำสิ่งต่างๆได้ แต่มักมีปัญหาว่า ทำไปแล้วแรงจูงใจตก หมดพลังมำงานหรือใช้ชีวิตไปวันๆ อยากจะลาออกแต่ออกไม่ได้ มีคนให้กำลังใจแล้วสักพักกลับรู้สึกแย่เหมือนเดิม สาเหตุส่วนหนึ่งมักมาจากเราเผลอไปสร้างแรงจูงใจจากสิ่งภายนอก ซึ่งก็ไม่ได้ผิดเพียงแต่สิ่งต่างๆภายนอกนั้นเป็นเรื่องที่เรามักควบคุมได้ ยาก เปลี่ยนแปลงได้ยาก เราจึงมีโอกาสผิดหวังสูง ถ้าเปลี่ยนไปได้ก็ถือว่าดีไป บางคนอยากจะมีเงิน แต่เรามักจะไปแก้เรื่องที่ภายนอก เช่น บริษัทน่าจะขึ้นเงินเดือน ให้โบนัสมากๆ ให้สวัสดิการต่างๆเพิ่มขึ้น (ถ้าได้ก็ถือเป็นเรื่องดี)แต่หากเราเริ่มที่บริหารจัดการที่ตัวเราเอง โอกาสสำเร็จจะมีมากกว่า ชีวิตไม่วุ่นวายที่จะต้องไปแก้สิ่งต่างๆภายนอก เช่น เราอยากมีเงินเก็บ เราก็ใช้จ่ายน้อยลง เก็บออมมากขึ้นมาทำงานเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกหักเงินเดือน หรือบางท่านอยากหุ่นดี ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ต้องพึ่งยาลดน้ำหนัก เป็นต้น
ฝึกสร้างแรงจูงใจ โดยการตั้งเป้าหมาย ฝึก ให้กำลังใจตนเอง ลองเขียนบันทึกว่าเราอยากเห็นตนเองเป็นอย่างไรในอนาคต ทำให้เราเห็นภาพตนเองชัดเจนในอนาคตเมื่อเรามีเป้าหมายแล้วเราจะมีความกระตือ รือร้น มีความฝัน ความหวังในชีวิต หากตั้งแล้วรู้สึกท้อแท้ ท่านอาจต้องกลับไปดูใหม่ว่า ท่านเผลอไปแก้เรื่องภายนอกหรือคาดหวังสูงเกินไปหรือไม่ การมีเป้าหมายก็เหมือนกับการเดินทางที่มีแผนที่ หลงทางไปบ้างแต่ยังไปถึงจุดมุ่งหมายได้ สุดท้ายอย่าลืมให้กำลังใจตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้กำลังใจไม่ขาดตอน
สุดท้ายฝึกเรื่องสร้างความสุข บาง ท่านบอกข้อนี้ถนัด ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะหลายท่าน ดีกับคนอื่น ให้กำลังใจชาวบ้านได้เก่ง รับผิดชอบ ทำงานดี หัวหน้าชื่นชมแต่ไม่มีความสุข อันนี้ยังไม่ถือว่าอีคิวดีนัก สุขที่แท้จริงนั้นสำคัญที่สุดคือ ความสุขที่เกิดจากตนเอง ได้แก่ ความภาคภูมิใจในตนเอง ความสงบสุขทางจิตใจ
ลองฝึกฝนและพยายามสร้างอีคิวด้วยตัวท่านเองดู แล้วจะพบว่า ความสุขของชีวิต อยู่ใกล้แค่เอื้อม
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
เหนื่อย...กับความรัก
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2549
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2549
โกรธ....... เกลียด........ และรัก
ในชีวิตเรามันคงต้องมีสักครั้งที่ถูกคนที่เรา "คิดว่ารัก" ทำให้เราเสียใจ ไม่ว่าเรื่องจะเล็กจะใหญ่ก็ตามการที่ผิดหวังในความรักแล้ว สำหรับคนที่ผิดหวังย่อมรู้สึกว่ามันใหญ่หลวงเสมอ เมื่อรักมากก็แค้นมากไปเป็นของคู่กัน บางคนโกรธแค้นกันเป็นปีๆ เสียใจเป็นปีๆ เสียเวลาไปกับความโกรธ ความแค้นละความโมโห ถ้าเราหันมามองและวิเคราะห์ดูแล้ว จะเห็นว่าสิ่งที่เราโมโหนั้น อันที่จริงมันเป็นกลไลป้องกันตัวอย่างนึงของเรานั่นเอง
เพราะว่าเราไม่อยากที่จะยอมรับว่าเรามองคนผิดไป เรารักคนผิดคน รักเค้าแต่ว่าเค้าก็ไม่ได้รักเราตอบเท่ากับที่เราให้ความรักกับเค้าไป ไม่มีใครหรอกที่อยากจะยอมรับว่าตัวเองนั้น พลาดไปเสียแล้ว คำว่าพลาดในที่นี้ คือพลาดมองคนไม่ออก (ไม่ใช่ให้แปลว่าพลาดท่าเสียทีนะจ้ะ) ใครละจะอยากยอมรับข้อบกพร่องของตน.........
สิ่งที่เราแสดงออกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเองก็คือการที่เราโกรธ อีกฝ่ายนึง แค้นอีกฝ่ายนึง ซึ่งนั่นก็คือกลไลที่จิตใจของเราใช้เพื่อกันตัวเราไม่ให้เสียใจมากไปแค่นั้น แทนที่เราจะว่าตัวเองให้มันเจ็บใจมากขึ้นไป defense mechanism ของเราก็สั่งการให้เราพุ่งความสนใจไปที่อีกฝ่ายนึง ก็แค่นั้นเอง.........
บางคนบอกกับตัวเองว่า เราไม่รักเขาแล้ว เพราะว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด เราไม่สนใจเค้าแล้วไม่รักแล้วเราเหลือแต่ความโกรธ ความเกลียด ไม่อยากเจอหน้ากันอีกต่อไป .....ถ้าจะบอกว่าคุณกำลังหลอกตัวเอง เพราะว่าอันที่จริงแล้วคุณก็ยังคิดถึงเขาอยู่ ...คุณจะเชื่อไหม? คุณอาจจะไม่เชื่อ และเผลอๆก็บอกว่าเอาอะไรมาพูด เกลียดเค้าจะแย่แล้วไม่ได้รักสักหน่อย .... เอ้า เชื่อไม่เชื่อลองอ่านดู
ความเกลียดกับความรัก
เพราะว่าเราไม่อยากที่จะยอมรับว่าเรามองคนผิดไป เรารักคนผิดคน รักเค้าแต่ว่าเค้าก็ไม่ได้รักเราตอบเท่ากับที่เราให้ความรักกับเค้าไป ไม่มีใครหรอกที่อยากจะยอมรับว่าตัวเองนั้น พลาดไปเสียแล้ว คำว่าพลาดในที่นี้ คือพลาดมองคนไม่ออก (ไม่ใช่ให้แปลว่าพลาดท่าเสียทีนะจ้ะ) ใครละจะอยากยอมรับข้อบกพร่องของตน.........
สิ่งที่เราแสดงออกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเองก็คือการที่เราโกรธ อีกฝ่ายนึง แค้นอีกฝ่ายนึง ซึ่งนั่นก็คือกลไลที่จิตใจของเราใช้เพื่อกันตัวเราไม่ให้เสียใจมากไปแค่นั้น แทนที่เราจะว่าตัวเองให้มันเจ็บใจมากขึ้นไป defense mechanism ของเราก็สั่งการให้เราพุ่งความสนใจไปที่อีกฝ่ายนึง ก็แค่นั้นเอง.........
บางคนบอกกับตัวเองว่า เราไม่รักเขาแล้ว เพราะว่าเขาทำให้เราเจ็บปวด เราไม่สนใจเค้าแล้วไม่รักแล้วเราเหลือแต่ความโกรธ ความเกลียด ไม่อยากเจอหน้ากันอีกต่อไป .....ถ้าจะบอกว่าคุณกำลังหลอกตัวเอง เพราะว่าอันที่จริงแล้วคุณก็ยังคิดถึงเขาอยู่ ...คุณจะเชื่อไหม? คุณอาจจะไม่เชื่อ และเผลอๆก็บอกว่าเอาอะไรมาพูด เกลียดเค้าจะแย่แล้วไม่ได้รักสักหน่อย .... เอ้า เชื่อไม่เชื่อลองอ่านดู
ความเกลียดกับความรัก
ทุกคนก็คงบอกว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกัน เหมือนขั้วบวกและขั้วลบ หรือเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แต่ถ้ามองให้ดีๆแล้ว ถ้าไม่มีความเกลียด ก็ย่อมไม่มีความรัก....ถ้ามีความรัก...โอกาสที่จะเกลียดมันก็มี ถ้าคุณอยากจะบอกว่าคุณไม่รักแล้ว ไม่ได้รู้สึกรักแล้ว เหลือแค่ความเกลียด.... เพราะฉะนั้นขอถามว่า ถ้าคุณไม่รัก และเค้าก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคุณ คุณจะไปเกลียดเค้าทำไมกัน คุณเกลียดเค้าไป เค้าก็ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย สิ่งที่คุณรับรู้ มันก็มีอยู่แค่ในใจคุณนั่นแหละ ยิ่งเกลียดมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าคุณยังรักเค้าอยู่มากเท่านั้น
ถ้าเมื่อใดที่คุณไม่รู้สึกโกรธ หรือเกลียดอะไรกับคนที่เคยทำให้คุณเจ็บใจนั่นแหละค่ะถึงจะบอกได้ว่าคนๆนั้นไม่มีความสำคัญกับคุณแล้วจริงๆ............ รักษาใจกันหน่อยดีไหม
ถ้าเมื่อใดที่คุณไม่รู้สึกโกรธ หรือเกลียดอะไรกับคนที่เคยทำให้คุณเจ็บใจนั่นแหละค่ะถึงจะบอกได้ว่าคนๆนั้นไม่มีความสำคัญกับคุณแล้วจริงๆ............ รักษาใจกันหน่อยดีไหม
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2549
ยางลบ..กับการแก้ไขสิ่งผิดพลาด
สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่าเวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ เราห้ามใช้ยางลบ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักท่าไหร่
รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั่งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้นตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้นฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ
การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั่งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
หนูคิดถึงครูค่ะ
- - ระเด่นบุษบา - -
รู้แต่เพียงว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว ฉันก็อยากจะให้มันตรงสวย แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆนั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั่งใจวาดรูปหน้าคน แต่ฉันอาจเผลอวาดตากลมโตเกินไป ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆ นั้นเป็นแว่นตาแทน แม้นตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้นฉันจะไม่เคยคิดวาดรูป หน้าคนใส่แว่นมาก่อน แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจ ว่าสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ครูสอนวันนั้น แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของทุกคน และในชีวิตหนึ่งก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั่งใจ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ก็คือ
การที่ฉันเข้าใจว่า ธรรมชาติของความผิดพลาด คือ การที่มันเกิดขึ้นแล้ว จะคงอยู่ถาวร ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปแก้ไขมันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ ก็คือ รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อที่จะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั่งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น ถึงแม้นภาพที่เราวาดออกมาจะไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่ แต่มันก็ออกมาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
เพราะถึงอย่างไร ฉันยังเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่ ภาพชีวิตเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
หนูคิดถึงครูค่ะ
- - ระเด่นบุษบา - -
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)