เกี่ยวกับฉัน

- ระเด่นบุษบาหนึ่งหรัด
- ...เก็บ "ความรัก" ไว้ในหัวใจ เพื่อมอบให้ "ใครสักคน" ที่รักฉัน... I'm saving my love for someone who love me.
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
คุณของความเครียด
ทมยันตีเคยเล่าว่านวนิยายเบาสมองของเธอที่ใช้นามปากกาว่า "โรสลาเรน" นั้น ล้วนเขียนในยามที่กำลังเครียดทั้งนั้น มุขตลกของชาร์ลี แชปลิน ซึ่งนำความครื้นเครงมาสู่ชาวโลกนั้น ส่วนใหญ่ก็ขุดมาจากเบื้องหลังชีวิตอันทุกข์ระทม ดาวตลกเป็นจำนวนไม่น้อยก็มีชีวิตไม่ต่างจากเขา เพราะฉะนั้นความเครียดจึงมิใช่สิ่งกดดันบั่นทอนชีวิตแต่ถ่ายเดียว หากยังเป็นปัจจัยแห่งการสร้างสรรค์ด้วย
จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดัน ให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษ ในการฉกฉวยอะไรก็ได้เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์") ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียวก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ
แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้ นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้ เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลาง ๆ มากขึ้น ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้
มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวัน ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง
ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง
ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุย จนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น
เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว.
จริงอยู่ความเครียดทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นแรงผลักดัน ให้ชีวิตจิตใจดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งอื่นที่ดีกว่า อันได้แก่ความโปร่งเบา สบาย ราบรื่นและสมดุล ในยามเครียด จิตจะว่องไวเป็นพิเศษ ในการฉกฉวยอะไรก็ได้เพื่อมาบรรเทาความเครียด หรือบางทีก็ "หลุด" ออกไปจากเรื่องจำเจได้ง่าย ของบางอย่างในยามที่เราปกติ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เวลาเครียดแล้วจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือไร้สาระไปเลย (ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า "เซอร์") ถ้าเราไม่หมกมุ่นหรือวิตกกังวลกับความเครียดมากเกินไปนัก ลองมองออกไปนอกตัว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียวก็มีเรื่องให้หัวเราะได้มากมาย บางทีก็คิดเรื่องตลกออกมาได้อย่างน่าแปลกใจ
แต่ถ้าท่านเป็นคนชอบเรื่องจริงจัง ไม่นิยมมุขตลก ก็ลองมองประโยชน์ของความเครียดในอีกแง่หนึ่งก็ได้ นั่นคือการเป็นสัญญาณเตือนตน ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเรา เวลาเจริญสติทำสมาธิภาวนาหากมีความเครียดเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเรากำลังทำผิดวิธี อาจจะเพ่งมากไปหรือกดห้ามความคิดเอาไว้ก็ได้ เมื่อรู้เช่นนี้เราก็ควรหย่อนลงมาอีกนิด ทำใจให้เป็นกลาง ๆ มากขึ้น ต่อเมื่อความเครียดหายไปนั่นก็หมายความว่าจิตของเราได้สมดุลแล้ว สามารถ "เดินหน้า" ต่อไปได้
มิใช่จำเพาะแต่การภาวนาเท่านั้น แม้ในชีวิตประจำวัน ความเครียดก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดีสำหรับเราทุกคน มันอาจกำลังบอกเราว่าเรานอนน้อยเกินไป เราทำงานมากเกินไป หรือไม่ก็เตือนว่าเรากำลังคิดมากเกินไปแล้ว ถ้าเราหัดฟังสัญญาณจากความเครียดบ้าง เราจะรู้ทันทีว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพักผ่อน หรือปล่อยวางความคิดลงเสียบ้าง
ความเครียดเตือนเราให้คืนสู่ดุลยภาพ ถ้าเรากินมากไป ความอึดอัดจะเตือนให้เราหยุด ถ้าไม่หยุด ผลร้ายจะเกิดขึ้นตามมา ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราหาเรื่องมาใส่สมองจนแน่นไปหมด มิตรที่จะเตือนเราให้รู้จักเพลาเสียบ้างก็คือความเครียดนี้เอง
ความเครียดเป็นเสมือนเสียงตะโกนโหวกเหวก แม้จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่ก็จำเป็นสำหรับคนขับรถที่กำลังหลับใน หรือเพลิดเพลินกับการพูดคุย จนไม่รู้ว่ากำลังวิ่งออกนอกเลน ถ้าเราสดับตรับฟัง "เสียง" ของความเครียดเสียบ้าง ชีวิตจิตใจก็จะน้อมสู่ทางสายกลางได้มากขึ้น
เป็นเพราะเราเห็นความเครียดเป็นศัตรู จึงมัวแต่วิตกกังวลกับมันเลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ มิหนำซ้ำบางทีก็หาทางสยบมันด้วยยาสารพัดชนิด โดยยังใช้ชีวิตและปล่อยจิตใจให้เสียศูนย์ไปตามเดิม ผลก็คือโรคภัยไข้เจ็บต่างถามหา โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคกระเพาะ หรืออาจรวมถึงโรคมะเร็ง ไม่ต้องพูดถึงโรคประสาทซึ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนสมัยนี้ไปแล้ว.
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์แต่ก็งดงาม
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งงดงามน่าอัศจรรย์ด้วย
ดังเช่น ฟ้าคราม สายแดด และนัยน์ตาของเด็กน้อย
อย่าเพ่งเล็งแต่ด้านทุกข์ ...
เราต้องสัมผัสด้านงดงามน่าอัศจรรย์ของชีวิตด้วย
ทั้งหมดล้วนอยู่ในเราและรอบๆตัวเรา.. ทุกเวลาและสถานที่...
หากเราไร้สุข ขาดสันติภายในใจ ...
ย่อมไม่อาจแบ่งปันสันติและความสุขกับผู้อื่นได้...
แม้เขาจะเป็นคนที่เรารักและอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ตาม
แต่ถ้าเรามีสันติสุข...
เราจะยิ้มและแย้มบานได้อย่างดอกไม้...
ทุกคนในครอบครัวตลอดรวมถึงสังคม...
...จะได้รับอานิสงส์จากสันติภาวะของเรา
เราต้องพยายามเป็นพิเศษหรือไม่ในการชื่นชมความงามของฟ้าคราม
เราต้องฝึกเสียก่อนจึงจะดื่มด่ำความงามดังกล่าวได้กระนั้นหรือ
เปล่าเลย... เราดื่มด่ำได้ทันที...
แต่ละวินาทีของชีวิต เราสามารถดำเนินไปเยี่ยงนี้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด...
เราสามารถชื่นชมสายแดด ชื่นชมการปรากฎอยู่ของกันและกัน
หรือกระทั่งชื่นชมความรู้สึกขณะหายใจได้
เราไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมฟ้าครามถึงเมืองจีน
ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงอนาคตเพื่อจะชื่นชมลมหายใจ
เราสามารถสัมผัสทั้งหมดนั้นได้เดี๋ยวนี้...
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราตระหนักเห็นแต่ด้านที่เป็นทุกข์...
ดังเช่น ฟ้าคราม สายแดด และนัยน์ตาของเด็กน้อย
อย่าเพ่งเล็งแต่ด้านทุกข์ ...
เราต้องสัมผัสด้านงดงามน่าอัศจรรย์ของชีวิตด้วย
ทั้งหมดล้วนอยู่ในเราและรอบๆตัวเรา.. ทุกเวลาและสถานที่...
หากเราไร้สุข ขาดสันติภายในใจ ...
ย่อมไม่อาจแบ่งปันสันติและความสุขกับผู้อื่นได้...
แม้เขาจะเป็นคนที่เรารักและอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ตาม
แต่ถ้าเรามีสันติสุข...
เราจะยิ้มและแย้มบานได้อย่างดอกไม้...
ทุกคนในครอบครัวตลอดรวมถึงสังคม...
...จะได้รับอานิสงส์จากสันติภาวะของเรา
เราต้องพยายามเป็นพิเศษหรือไม่ในการชื่นชมความงามของฟ้าคราม
เราต้องฝึกเสียก่อนจึงจะดื่มด่ำความงามดังกล่าวได้กระนั้นหรือ
เปล่าเลย... เราดื่มด่ำได้ทันที...
แต่ละวินาทีของชีวิต เราสามารถดำเนินไปเยี่ยงนี้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด...
เราสามารถชื่นชมสายแดด ชื่นชมการปรากฎอยู่ของกันและกัน
หรือกระทั่งชื่นชมความรู้สึกขณะหายใจได้
เราไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมฟ้าครามถึงเมืองจีน
ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงอนาคตเพื่อจะชื่นชมลมหายใจ
เราสามารถสัมผัสทั้งหมดนั้นได้เดี๋ยวนี้...
คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราตระหนักเห็นแต่ด้านที่เป็นทุกข์...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)