บทละครเรื่องอิเหนา เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงนำเค้าเรื่องพงศาวดารชวามาดัดแปลงโดยใช้ฉากขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบไทย จึงเป็นเรื่องที่สะท้อนภาพสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีเนื้อเรื่องย่อดังนี้
มีกษัตริย์วงศ์เทวาสี่พระนคร เป็นพี่น้องกัน ครองเมืองสำคัญตามลำดับ คือ กุเรปัน ดาหา กาหลัง สิงหัดส่าหรี มเหสีของท้าวกุเรปันและท้าวดาหาเป็นพี่น้องกันด้วย ท้าวกุเรปันมีโอรสชื่อ อิเหนา ซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่อง เป็นชายหนุ่มรูปงาม มีความสามารถเชี่ยวชาญในการรบ และเป็นชายที่มีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของเพศตรงข้าม ส่วนท้าวดาหามีธิดา ชื่อ บุษบา ซึ่งรูปงามมาก เป็นนางเอกของเรื่อง
ท้าวกุเรปันและท้าวดาหา ได้หมั้นหมายอิเหนาและบุษบาไว้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย เพื่อจะได้อภิเษกเป็นคู่ครองกันสมตามศักดิ์ศรีของวงศ์เทวา โดยที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ต่อมาอิเหนาเป็นผู้แทนท้าวกุเรปันไปในงานศพท้าวหมันยา ซึ่งมเหสีท้าวหมันหยาเป็นญาติ อิเหนาได้พบนาง จินตะหราวาตี ธิดาท้าวหมันหยา ได้นางจินตะหราซึ่งต่ำศักดิ์กว่าเป็นชายา เมื่อถึงเวลาจะต้องแต่งงานกับบุษบา อิเหนาซึ่งหลงนางจินตะหราอยู่ที่เมืองหมันหยาได้ปฏิเสธไม่กลับไปแต่งงานกับบุษบา ท้าวดาหาพระบิดาของบุษบากริ้วโกรธมาก จึงประชดยกนางบุษบาให้จรกา แห่งเมืองล่าสำ ซึ่งรูปชั่วตัวดำ ต่อมา วิหยาสะกำ โอรสท้าวกะหมังกุหนิงได้รูปวาดนางบุษบาที่จรกาให้ช่างลอบไปวาด แล้วเทวดามาบันดาลให้รูปวาดบุษบาหายไป ๑ รูป ไปตกอยู่ในมือวิหยาสะกำ เมื่อได้เห็นรูปก็หลงรัก ส่งทูตไปสู่ขอ แต่ท้าวดาหายกนางบุษบาให้จรกาแล้ว วิหยาสะกำแห่งเมืองกะหมังกุหนิงจึงยกทัพมาชิงนางบุษบา ท้าวกุเรปันและมเหสีส่งสารไปให้อิเหนายกทัพไปช่วยเมืองดาหา อิเหนาก็โอ้เอ้อยู่ จนต้องมีสารไปตัดเป็นตัดตายว่า
“ถึงไม่เลี้ยงบุษบาเห็นว่าชั่ว
แต่เขารู้อยู่ว่าตัวนั้นเป็นพี่
อันองค์ท้าวดาหาธิบดี
นั้นมิใช่อาฤาว่าไร
แม้นมิยกพลไกรไปช่วย
ถึงเราม้วยก็อย่ามาดูผี
อย่าดูทั้งเปลวอัคคี
แต่วันนี้ขาดกันจนบรรลัย”
เมื่ออิเหนาได้เห็นบุษบาเพียงครั้งแรกก็หลงรักและคลั่งไคล้อย่างหนัก จึงทำอุบายลักพานางบุษบาไปซ่อนไว้ในถ้ำและได้อยู่ร่วมกันมีความสุข แต่เทพยดา ปะตาระกาหลง ซึ่งเป็นอัยกา (ปู่) ไม่พอใจที่อิเหนาประพฤติตนไม่ดี จึงลงโทษบันดาลให้ลมพายุหอบนางบุษบา ซึ่งออกมาชมสวนไป และมีบันดาลให้นางกลายร่างเป็นชาย ชื่อ อุนากรรณ สาปไว้ด้วยว่า ต่อเมื่อพี่น้องสี่นครมาพบกันพร้อมหน้าเมื่อใด อุนากรรณจึงจะกลายร่างจากชายเป็นบุษบาได้ หากไม่ถึงเวลานั้น แม้อิเหนาพบบุษบา ก็ไม่สามารถจะทราบว่านางคือบุษบา ปะตาระกาหลาประทานกฤชให้อุนากรรณ ต่อจากนั้นอุนากรรณก็เที่ยวร่อนเร่พเนจรไปตามเมืองต่างๆ รบชนะได้ธิดาของเมืองต่างๆ มาร่วมเดินทาง
ฝ่ายอิเหนาเมื่อทราบว่าบุษบาหายไป ก็ออกติดตามหา ระหว่างทางรบชนะได้เมืองต่างๆ ได้พบอุนากรรณ แม้สงสัยว่าเป็นบุษบา แต่สืบอย่างไรก็พบว่าอุนากรรณเป็นชาย ต่อมาอิเหนาปลอมตัวเป็น ปันหยี (โจรป่า) ออกตามหานางบุษบาไปทุกหนทุกแห่งด้วยความทุกข์ทรมานใจ จนในที่สุดได้พบนางบุษบาบวชเป็นแอหนัง (ชี) อยู่ที่เขาตะหลากัน และตั้งใจว่าจะฆ่าตัวตาย ปันหยีปลอมเป็นเทวดาไปลวงนางแอหนังว่าจะพาไปสวรรค์ แล้วพานางมายังเมืองกาหลัง ทำอุบายให้ประสับตาพี่เลี้ยงเล่นหนังพรรณนาเรื่องของอิเหนาและบุษบาให้นางแอหนังดู ในที่สุดปันหยีก็รู้ว่าแอหนังคือบุษบา ประจวบกับมีเหตุให้ระเด่นพี่น้องทั้งสี่เมืองมาครบ อิเหนาจึงสึกชี แอหนังเป็นบุษบา ภายหลังได้อภิเษกกัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะให้บทละครเรื่องอิเหนามีคุณค่าสูง ทั้งในเชิงวรรณศิลป์ และนาฏศิลป์ คีตศิลป์ เมื่อทรงพระราชนิพนธ์แต่ละตอนเสร็จแล้ว ได้โปรดเกล้าฯให้ กรมขุนพิทักษ์เทเวศร์ นำไปทดลองขับร้องประกอบดนตรี จัดท่ารำ แก้ไขปรับปรุงให้รัดกุม กระชับ จนเป็นที่พอพระราชหฤทัยทุกตอน ด้วยเหตุนี้ บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงมีความไพเราะ งดงาม เพียบพร้อมด้วยคุณลักษณะแห่งวรรณศิลป์ ในเชิงนาฏศิลป์ก็เป็นบทละครที่มีลีลางดงาม พระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาจึงเป็นที่ประทับใจผู้คนทุกยุคทุกสมัยตลอดมา มีผู้นำไปแสดงละคร ใช้เป็นบทขับร้อง และตีพิมพ์เผยแพร่เป็นวรรณคดีอันอมตะของชาติ และในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณคดีสโมสร ได้ตัดสินให้ อิเหนาเป็นยอดแห่งกลอนบทละคร
พระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนานี้ นอกจากมีคุณค่าสูงเชิงวรรณศิลป์และนาฏศิลป์ คีตศิลป์ (ขับร้องและดนตรี) แล้ว ยังมีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ด้วย เช่น สะท้อนภาพบ้านเมืองในสมัยต้นรัตนโกสินทร์
“ท้องสนามแกล้งปราบราบรื่น
พ่างพื้นปถพีไม่มีหญ้า
กว้างใหญ่ไพศาลสุดตา
เตียนสะอาดดาษดาด้วยทรายทอง”
ภาพเรือพระราชพิธี
“ประตูลักลงท่าชลาลัย
มีโรงเรือเรียงไปริมฝั่ง
เรือศรีสุวรรณบัลลังก์
เรือแข่งเรือที่นั่งตั้งบนม้า
เรือกิ่งเอกไชยใส่บุษบก
งามกระหนกลวดลายท้ายหน้า”
“ท่ามกลางทางท้องสถกมาศ
ลำดับดาดอิฐแผ่นแน่นหนา
บ้านช่องสองข้างมรรคา
ล้วนเคหาหน้าถึงนั่งร้าน
เหล่าพวกกรมท่าเจ้าภาษี
มั่งมีสมบัติพัสถาน
เรือนริมรัตยาฝากระดาน
ตึกกว้านบ้านขุนนางนองเนือง
สุเหร่าเรียงเคียงคั่นปั้นหยา
ก่อผนังหลังคามุงกระเบื้อง
ศาลเทพารักษ์หลักเมือง
นับถือลือเลื่องทั้งกรุงไกร
เสาชิงช้าอาวาสวัดพราหมณ์
ทำตามประเพณีพิธีไสย
หอกลองอยู่กลางเวียงชัย
แม้นเกิดไฟไพรีตีสัญญา
สะพานช้างทางข้ามคชสาร
ก่ออิฐปูกระดานไม้หนา
คลองหลอดแลลิ่วสุดสายตา
น้ำลงคงคาไม่ขอดเคือง
นาวาค้าขายพายขึ้นล่อง
ตามแม่น้ำลำคลองแน่นเนื่อง
แพจอดตลอดท่าหน้าเมือง
นองเนืองเป็นขนัดในนัที”
สถานที่ตามที่ปรากฏในเรื่อง อิเหนา ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังกล่าวถึง ขนบประเพณีสำคัญทั้งในราชสำนักและในหมู่สามัญชน การดำรงชีวิต สภาพเศรษฐกิจการค้าอาชีพ การแต่งกาย เครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งศาสนาและศิลปวัฒนธรรมของไทยในอดีต ซึ่งบางอย่างยังเป็นแบบแผนประเพณีตกทอดมาถึงปัจจุบัน เช่น ประเพณีสมโภชลูกหลวงประสูติใหม่ ประเพณีการพระเมรุ ซึ่งยังคงเป็นแนวปฏิบัติอยู่ในราชสำนักของไทย และให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณีอื่นๆ เช่น แห่สระสนานใหญ่ ประเพณีโสกันต์ ซึ่งนักปราชญ์ทางวรรณคดีและสังคมศาสตร์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ตรงตามตำราราชประเพณีโบราณ เพียงแต่ทรงดัดแปลงแก้ไขให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ดังนั้น คนไทยสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบัน จึงนิยมยกย่องและศึกษาสืบทอดเรื่องอิเหนาตลอดมา ซึ่งนอกจากได้รับความเพลิดเพลิน ได้รับอรรถรสอันเปี่ยมด้วยคุณค่าทางวรรณศิลป์แล้ว ยังได้รับประโยชน์ด้านความรู้อันเป็นแบบแผนแนวทางในการดำรงชีวิตเป็นอย่างดี เช่น คติในข้อที่บุตรธิดาไม่เชื่อฟังอยู่ในโอวาทบิดามารดา คือ อิเหนา ซึ่งต้องประสบเคราะห์กรรม พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ต้องได้รับความทุกข์ทรมานยากลำบากสาหัสในการร่อนเร่ติดตามหานางบุษบาเป็นเวลาช้านานกว่าจะพ้นปัญหา ความรักหลงในอิสตรี อาจนำมาซึ่งความเดือดร้อนถึงชีวิต เช่น วิหยาสะกำ และความรักลูกตามใจจนเกิดภัยแก่ชีวิตทั้งของตนและลูก เช่น ท้าวกะหมังกุหนิง พระบิดาของวิหยาสะกำ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น